วัดผลลัพธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย SROI: เครื่องมือที่เปลี่ยน "คุณค่า" ให้เป็น "มูลค่า"

Infographic: จากทุนชุมชนสู่มูลค่าทางสังคมด้วย SROI

จาก "ทุนชุมชน" สู่ "มูลค่าทางสังคม"

วัดผลลัพธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย SROI: เครื่องมือที่เปลี่ยน "คุณค่า" ให้เป็น "มูลค่า"

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโครงการที่ทำ...คุ้มค่าจริงๆ?

ในยุคที่ความยั่งยืนคือเป้าหมาย การวัดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ เครื่องมืออย่าง SIA และ SROI เข้ามาตอบโจทย์นี้ โดยช่วยให้เราเข้าใจและประเมินมูลค่าที่แท้จริงของการลงทุนทางสังคม

🔍SIA: การประเมินผลกระทบทางสังคม

คือกระบวนการ คาดการณ์และประเมินผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นกับสังคมและวัฒนธรรมจากโครงการต่างๆ ทั้งในเชิงบวกและลบ ช่วยให้เข้าใจบริบทและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

💰SROI: ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน

เป็นเครื่องมือที่ แปลงผลลัพธ์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความสุขหรือความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ให้กลายเป็นค่าตัวเงิน ทำให้เห็นว่า ลงทุน 1 บาท สร้างผลตอบแทนกลับสู่สังคมเท่าไหร่

กระบวนการ SROI: การเดินทางที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

หัวใจสำคัญคือการให้ชุมชนเป็นเจ้าของกระบวนการ สร้างองค์ความรู้ร่วมกันเพื่อการพึ่งพาตนเอง

1

ระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ใครคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ?

2

สร้างทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง

โครงการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

3

ทวนสอบภาคสนาม

ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นยังคงอยู่จริงหรือไม่?

4

รวบรวมข้อมูลและประเมินผล

รับฟังเสียงจากคนในชุมชนโดยตรง

ผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

จากการลงพื้นที่ถอดบทเรียนโครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน

1. องค์ความรู้: รากฐานการพัฒนา

โครงการสร้างความเข้าใจในแนวคิดหลัก 3 ประการ ที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยชุมชนเอง

2. ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง

โครงการได้สร้างกลไกและเครื่องมือที่จับต้องได้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างอาชีพในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

3. การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ: จากอดีตสู่อนาคต

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้หยุดแค่ตัวบุคคล แต่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในชุมชน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

สร้างวัฏจักรเศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่น

SROI ไม่เพียงวัดผล แต่ยังช่วยสร้างระบบนิเวศที่ชุมชนเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้คิดค้นนวัตกรรม

📈

เงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้น

ชาวบ้านมีรายได้และสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น

🤝

เกิดการซื้อขายในชุมชน

มีการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบและสินค้า สนับสนุนกันเอง

💡

ชุมชนเป็นผู้คิดค้น

เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ ต่อยอดภูมิปัญญาสู่นวัตกรรม

การลงทุนเพื่ออนาคตที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน

SROI คือปรัชญาการทำงานที่เสริมสร้างรากฐานความเข้มแข็งจากภายใน นำไปสู่การพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

วัดผลลัพธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย SROI: เครื่องมือที่เปลี่ยน "คุณค่า" ให้เป็น "มูลค่า"

กราฟฟิก

รายงานจาก "ทุนชุมชน" สู่ "มูลค่าทางสังคม" ด้วย SROI เครื่องมือที่มากกว่าการประเมินการลงทุน
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร: พลังการเปลี่ยนแปลงของ SROI
รายงานฉบับนี้ได้วางรากฐานแนวคิด Social Return on Investment (SROI) ในฐานะกรอบการทำงานที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่เพียงแค่ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ แต่เป็นเครื่องมือในการจับภาพ วัดผล และสื่อสารมูลค่าทางสังคมทั้งหมดที่องค์กรสร้างขึ้น SROI เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ โดยก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวชี้วัดทางการเงินแบบดั้งเดิม และเข้าถึงการประเมิน "ทุนชุมชน" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน รายงานนี้ได้นำเสนอแนวคิดว่า SROI เป็นกระบวนการที่นำพาองค์กรให้มองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของการดำเนินงานในมิติที่กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้นข้อค้นพบหลักจากรายงานฉบับนี้รวมถึงรายละเอียดของกระบวนการ SROI 6 ขั้นตอนที่เข้มงวด การประยุกต์ใช้ SROI ที่ประสบความสำเร็จในโครงการที่หลากหลายของบริบทไทย เช่น งานด้านมนุษยธรรม การพัฒนาความรู้ทางการเงิน และการสร้างทุนชุมชนในเขตเมือง นอกจากนี้ยังได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของ SROI ในการเป็นเครื่องมือสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการสื่อสารคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างโปร่งใสและน่าเชื่อถือ การนำ SROI มาใช้ไม่ได้เป็นเพียงการทำรายงานครั้งเดียวจบ แต่เป็นการสร้างวงจรการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง เพื่อให้องค์กรสามารถปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างมูลค่าทางสังคมได้อย่างยั่งยืน
รายงานฉบับนี้มีข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการนำ SROI มาใช้ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมอง SROI เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นเพียงการประเมินผลเพียงครั้งเดียว การสร้างขีดความสามารถภายในองค์กร การให้คุณค่ากับผลลัพธ์ที่จับต้องไม่ได้ และการใช้ SROI เป็นเครื่องมือในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรสามารถแสดงและขยายผลกระทบทางสังคมของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนที่ 1: หลักการพื้นฐานของ SROI

2.1 การเปลี่ยนกระบวนทัศน์: จากทุนชุมชนสู่มูลค่าทางสังคมที่วัดผลได้
SROI เป็นเครื่องมือที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทลายข้อจำกัดของการประเมินผลแบบเดิมๆ ที่มักจะมองข้ามสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อย่าง "ทุนชุมชน" ทุนชุมชนเป็นฐานสินทรัพย์ที่ประกอบด้วยเครือข่ายทางสังคม ความไว้วางใจ ความรู้ และบรรทัดฐานร่วมที่หล่อหลอมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสมาชิกในชุมชน ในขณะที่การประเมินผลแบบดั้งเดิมอาจมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยแวดล้อม แต่ SROI กลับให้ความสำคัญและมองเห็นว่าทุนชุมชนคือวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับการสร้างมูลค่าทางสังคมที่ยั่งยืน
SROI ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมที่นำแนวคิดเชิงนามธรรมของทุนชุมชนไปสู่มูลค่าทางสังคมที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและเข้าใจได้ง่าย ตัวอย่างเช่น ความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นในชุมชน (ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของทุนชุมชน) นำไปสู่การทำงานร่วมกันที่ดีขึ้น (ผลลัพธ์) ซึ่งในทางกลับกันสามารถแปลงเป็นมูลค่าทางการเงินได้โดยการคำนวณการลดลงของต้นทุนการดำเนินงาน หรือการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพโดยรวมของโครงการ การที่ SROI สามารถแปลงคุณค่าเหล่านี้ให้กลายเป็นตัวเลขได้นั้น เป็นการท้าทายกระบวนทัศน์ทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่ให้คุณค่าเฉพาะกับการทำธุรกรรมทางการตลาดเท่านั้น และเป็นการขยายนิยามของคำว่า "ผลตอบแทน" ให้ครอบคลุมไปถึงมิติทางสังคม ซึ่งเป็นการทำให้แนวคิดการสร้างมูลค่าเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้และเป็นของทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง

2.2 SROI กับ ROI แบบดั้งเดิม: การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ
การเปรียบเทียบระหว่าง SROI และ Return on Investment (ROI) แบบดั้งเดิมเผยให้เห็นถึงความแตกต่างในแนวคิดพื้นฐานอย่างชัดเจน ROI มุ่งเน้นไปที่การประเมินผลตอบแทนทางการเงินที่ได้รับจากการลงทุนอย่างตรงไปตรงมา โดยมักจะตั้งคำถามว่า "การลงทุนนี้สร้างผลตอบแทนทางการเงินหรือไม่?" ในทางตรงกันข้าม SROI เป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมกว่ามาก เพราะมันขยายขอบเขตการพิจารณาไปสู่ผลลัพธ์ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ซึ่งเป็นมิติที่ ROI ไม่ได้ให้ความสำคัญ ดังนั้น คำถามที่ SROI ตอบจึงไม่ใช่แค่เรื่องทางการเงิน แต่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าว่า "การลงทุนนี้สร้างคุณค่าอะไรให้แก่สังคมบ้าง?"
หัวใจสำคัญของการประเมินผลแบบ SROI คือการนำเสนอในรูปแบบของอัตราส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าทางสังคมที่ถูกสร้างขึ้นในแต่ละหน่วยของการลงทุน อัตราส่วนนี้แสดงด้วยสูตร $ มูลค่าปัจจุบันสุทธิของมูลค่าทางสังคม \div มูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุน $ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญยิ่งกว่าตัวเลขสุดท้าย คือกระบวนการเบื้องหลังที่มาซึ่งตัวเลขนั้น รายงาน SROI ไม่ได้มีเพียงตัวเลขสุดท้ายที่แสดงให้เห็นถึงอัตราส่วน แต่ยังรวมถึงเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินโครงการ ซึ่งให้บริบทที่สมบูรณ์ยิ่งกว่าตัวเลขเดี่ยวๆ เพียงอย่างเดียว การทำความเข้าใจว่าผลตอบแทนทางสังคมเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีประโยชน์ต่อใครบ้างนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราส่วน SROI มีความหมายและมีพลังในการสื่อสารอย่างแท้จริง

2.3 หลักการสำคัญเจ็ดประการของ SROI

การวิเคราะห์ SROI ดำเนินการภายใต้หลักการพื้นฐานเจ็ดประการที่มุ่งสร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสให้กับกระบวนการทั้งหมด

1. ดึงดูดผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: การวิเคราะห์ SROI จำเป็นต้องมีการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างจริงจังในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดขอบเขตไปจนถึงการระบุและให้มูลค่ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง การมีส่วนร่วมนี้ทำให้การวิเคราะห์มีรากฐานมาจากประสบการณ์ตรงของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ

2. ทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น: การวิเคราะห์ต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างแบบจำลอง Theory of Change เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของโครงการอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ทรัพยากรที่ใช้ไป (inputs) ไปจนถึงผลผลิต (outputs) ผลลัพธ์ (outcomes) และผลกระทบระยะยาว (impacts) การทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้สามารถเชื่อมโยงกิจกรรมของโครงการเข้ากับคุณค่าที่แท้จริงได้

3. ให้คุณค่ากับสิ่งที่สำคัญ: SROI ใช้การกำหนด "ตัวแทนทางการเงิน" (financial proxies) เพื่อมอบมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับผลลัพธ์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการนี้ ตัวอย่างเช่น การให้มูลค่ากับผลลัพธ์เชิงสุขภาพจิตที่ดีขึ้น โดยใช้มูลค่าของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลหรือการบำบัดรักษาที่ลดลงเป็นตัวแทน

4. ระบุเฉพาะผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญ: การวิเคราะห์ควรเน้นเฉพาะผลลัพธ์ที่มีความสำคัญและมีนัยต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเท่านั้น การตัดผลลัพธ์ที่ไม่มีนัยสำคัญออกจะช่วยรักษาความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของรายงานไว้ได้

5. ไม่โอ้อวดผลลัพธ์: หลักการนี้เป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการกล่าวอ้างเกินจริง โดยการพิจารณาปัจจัยสำคัญสองประการ ได้แก่ "deadweight" หรือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินโครงการ และ "attribution" หรือการปันส่วนผลลัพธ์ให้กับปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลง นอกเหนือจากโครงการที่กำลังประเมิน

6. สร้างความโปร่งใส: รายงาน SROI จะต้องเปิดเผยทุกรายละเอียดที่สำคัญของระเบียบวิธีวิจัย แหล่งข้อมูล และข้อสมมติฐานทั้งหมดที่ใช้ในการคำนวณ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตรวจสอบและทำความเข้าใจกระบวนการทั้งหมดได้

7. ตรวจสอบผลลัพธ์: การตรวจสอบและรับรองผลลัพธ์โดยหน่วยงานภายนอกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืนยันความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของรายงาน SROI

การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการนำ SROI มาใช้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำรายงานครั้งเดียวจบ แต่เป็นกระบวนการที่สะท้อนให้เห็นถึงการยกระดับความคิดเชิงกลยุทธ์ขององค์กร ตั้งแต่การออกแบบโครงการไปจนถึงการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโฟกัสขององค์กรจากแค่การถามว่า "เราทำอะไรไปบ้าง?" ไปสู่การถามที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า "เราสร้างคุณค่าอะไรให้แก่ใครบ้าง?"

ส่วนที่ 2: กระบวนการ SROI: เส้นทางสู่การวัดผล 6 ขั้นตอน
3.1 ขั้นตอนที่ 1: กำหนดขอบเขตและระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ขั้นตอนแรกของกระบวนการ SROI คือการกำหนดขอบเขตของการประเมินให้ชัดเจน และการระบุกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง ผู้ให้บริการ ผู้ให้ทุน และผู้ที่อาจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม การจัดทำแผนที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและการมีส่วนร่วมกับพวกเขตั้งแต่เนิ่นๆ ในกระบวนการเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลที่รวบรวมจากมุมมองของผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจะช่วยให้การวิเคราะห์มีความสมจริงและแม่นยำ

3.2 ขั้นตอนที่ 2: จัดทำแผนที่ผลลัพธ์ (Mapping Outcomes)
ในขั้นตอนนี้ องค์กรจะสร้างแบบจำลอง Theory of Change หรือ Logic Model เพื่อเชื่อมโยงทรัพยากรที่ใช้ (inputs) เข้ากับผลผลิต (outputs) ผลลัพธ์ (outcomes) และผลกระทบระยะยาว (impacts) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ การรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในขั้นตอนนี้จะช่วยให้สามารถระบุได้ทั้งผลลัพธ์ที่คาดหวังและผลลัพธ์ที่ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การวิเคราะห์ SROI มีความครอบคลุมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
3.3 ขั้นตอนที่ 3: การให้คุณค่ากับผลลัพธ์
ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจทางเทคนิคของ SROI ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการมอบมูลค่าทางการเงินให้กับผลลัพธ์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน โดยใช้หลักการของ "ตัวแทนทางการเงิน" (financial proxies) การใช้ตัวแทนทางการเงินนี้ทำให้ผลลัพธ์เชิงนามธรรมสามารถแปลงเป็นตัวเลขที่จับต้องได้ ตัวอย่างเช่น ในโครงการพัฒนาความรู้ทางการเงิน การประเมินผลกระทบต่อ "สุขภาพจิตที่ดีขึ้น" อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่วัดผลได้ยาก แต่สามารถประเมินเป็นมูลค่าทางการเงินได้โดยใช้ตัวแทนทางการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการบำบัดทางจิตเวชหรือการซื้อยาลดลง ซึ่งสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายที่ผู้ได้รับประโยชน์ไม่ต้องเสียไปเพราะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น การแปลงผลลัพธ์ทางสังคมให้กลายเป็นตัวเลขทางการเงินเช่นนี้ ทำให้ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถเข้าใจและเปรียบเทียบคุณค่าที่องค์กรสร้างขึ้นได้ง่ายขึ้น
3.4 ขั้นตอนที่ 4: การยืนยันผลกระทบ
การยืนยันผลกระทบเป็นขั้นตอนที่มุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการดำเนินโครงการโดยตรง และไม่ได้เกิดจากปัจจัยอื่นๆ ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาแนวคิดที่สำคัญสามประการ ได้แก่:
Deadweight (น้ำหนักที่ตายแล้ว): ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วแม้ไม่มีการดำเนินโครงการ
Displacement (การเบียดบัง): ผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นในที่อื่นเนื่องจากโครงการ (เช่น การที่ธุรกิจคู่แข่งต้องปิดตัวลง)
Attribution (การปันส่วน): การแบ่งเครดิตให้กับปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยในการสร้างผลลัพธ์ เช่น นโยบายของรัฐบาลหรือความร่วมมือจากองค์กรอื่น
การวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบจะช่วยป้องกันการกล่าวอ้างผลลัพธ์เกินจริงและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับรายงานอย่างมาก

3.5 ขั้นตอนที่ 5: การคำนวณอัตราส่วน SROI
ในขั้นตอนนี้ จะมีการคำนวณอัตราส่วนสุดท้ายโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมและวิเคราะห์มาทั้งหมด โดยสูตรคือ มูลค่าปัจจุบันสุทธิของมูลค่าทางสังคม \div มูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุน การคำนวณนี้ยังรวมถึงการปรับมูลค่าเงินตามเวลาเพื่อสะท้อนถึงมูลค่าปัจจุบันของทั้งการลงทุนและมูลค่าทางสังคมที่เกิดขึ้นในระยะยาว
3.6 ขั้นตอนที่ 6: การรายงาน การใช้ และการผนวก SROI
ขั้นตอนสุดท้ายคือการจัดทำรายงาน SROI ที่ครอบคลุมและโปร่งใส โดยไม่เพียงแต่แสดงตัวเลข แต่ยังเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของการสร้างคุณค่าทางสังคมด้วย การใช้รายงาน SROI เป็นเครื่องมือในการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ช่วยให้องค์กรสามารถนำเสนอคุณค่าที่แท้จริงที่ตนสร้างขึ้นแก่ผู้ให้ทุน ผู้บริจาค และสังคมได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ การนำ SROI มาใช้เป็นวงจรการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องยังช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีผลกระทบสูง และจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม การปลูกฝังแนวคิด SROI ให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้กระบวนการนี้สามารถสร้างประโยชน์ได้สูงสุดในระยะยาว

ส่วนที่ 3: กรณีศึกษาการประยุกต์ใช้ SROI ในบริบทไทย
การเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดสู่การปฏิบัติจริงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านกรณีศึกษาในประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ SROI ในการประเมินโครงการที่หลากหลายอย่างแท้จริง

4.1 กรณีศึกษาที่ 1: สภากาชาดไทย (TRCS) - ผลกระทบในเชิงมนุษยธรรมในวงกว้าง
โครงการด้านมนุษยธรรมของสภากาชาดไทยเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ SROI ในการประเมินโครงการขนาดใหญ่และซับซ้อนที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ได้รับประโยชน์ การวิเคราะห์พบว่าโครงการนี้มีการลงทุน 29 ล้านบาท แต่สามารถสร้างมูลค่าทางสังคมได้ถึง 116 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วน SROI เท่ากับ 1:4 การวิเคราะห์เชิงลึกเปิดเผยว่าคุณค่าที่สร้างขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่การช่วยเหลือทางการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลลัพธ์เชิงนามธรรม เช่น "คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น" และ "การเพิ่มขึ้นของความรู้" ของผู้ประสบภัย

4.2 กรณีศึกษาที่ 2: ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเพื่อการรู้เท่าทันทางการเงิน
กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ SROI กับโครงการเชิงการศึกษาที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงสำหรับเยาวชนและคนในชุมชน การประเมินผลโครงการพบว่ามีอัตราส่วน SROI เท่ากับ 1:2.44 การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่ามูลค่าทางสังคมที่เกิดขึ้นมาจากผลลัพธ์ที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้หลายประการ รวมถึง "รายได้ที่เพิ่มขึ้น" และ "หนี้ที่ลดลง" ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการมี "ความรู้ทางการเงินที่ดีขึ้น" นอกจากนี้ การวิเคราะห์ยังสามารถประเมินค่าของ "สุขภาพจิตที่ดีขึ้น" ที่เป็นผลจากการที่ผู้ได้รับประโยชน์สามารถจัดการกับปัญหาหนี้สินได้สำเร็จ

4.3 กรณีศึกษาที่ 3: ทุนชุมชนเพื่อการพัฒนาเมือง
กรณีศึกษานี้เป็นตัวอย่างที่ตรงกับแนวคิดของรายงานฉบับนี้อย่างยิ่ง เนื่องจากแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า SROI สามารถนำมาใช้เพื่อวัดผลการสร้างทุนชุมชนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเมืองได้อย่างไร การวิเคราะห์พบอัตราส่วน SROI ที่ 1:3.12 โดยมูลค่าทางสังคมที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มาจากโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเสริมสร้างสินทรัพย์เชิงนามธรรม เช่น "ความไว้วางใจ" "ความสัมพันธ์ทางสังคม" และ "ความรู้ในท้องถิ่น" ที่แข็งแกร่งขึ้น นี่เป็นข้อพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่าแนวคิดเชิงนามธรรมอย่าง "ทุนชุมชน" สามารถถูกประเมินและสื่อสารเป็นมูลค่าที่เข้าใจได้และน่าเชื่อถือ

ตารางเปรียบเทียบกรณีศึกษาการประยุกต์ใช้ SROI
ชื่อโครงการ ประเภทของการดำเนินงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ผลลัพธ์เชิงนามธรรมหลักที่ประเมินค่า มูลค่าการลงทุน (บาท) มูลค่าทางสังคม (บาท) อัตราส่วน SROIสภากาชาดไทย มนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ ผู้ได้รับประโยชน์, ผู้ร่วมมือ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, ความรู้ 29 ล้าน 116 ล้าน 1:4
ศูนย์การเรียนรู้ฯ การศึกษาและความรู้ทางการเงิน เยาวชน, คนในชุมชน สุขภาพจิตที่ดีขึ้น, ความรู้ทางการเงิน N/A N/A 1:2.44
การพัฒนาเมือง การสร้างชุมชนและการพัฒนาเมือง สมาชิกชุมชน, ผู้พัฒนา ความไว้วางใจ, ความสัมพันธ์ทางสังคม, ความรู้ท้องถิ่น N/A N/A 1:3.12

การพิจารณาจากอัตราส่วน SROI ที่ปรากฏในกรณีศึกษาเหล่านี้ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 1:2.44 ถึง 1:4 แสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่น่าสนใจว่าสำหรับโครงการทางสังคมที่มีการบริหารจัดการที่ดีในประเทศไทยซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสร้างทุนมนุษย์และทุนชุมชนนั้น ผลตอบแทนทางสังคมที่ได้อาจอยู่ในช่วง 2 ถึง 4 เท่าของเงินลงทุนเริ่มต้น นี่คือข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญในแวดวง เพราะมันให้เกณฑ์มาตรฐานที่จับต้องได้สำหรับการเปรียบเทียบโครงการของตนเองและยังช่วยในการให้เหตุผลในการขอรับเงินทุนอีกด้วย

ส่วนที่ 4: ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับการนำไปใช้และขยายผล

5.1 ความท้าทายที่สำคัญในการนำ SROI ไปใช้

การนำ SROI มาใช้อาจเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในบริบทที่เครื่องมือนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย ความไม่คุ้นเคยนี้ก่อให้เกิดอุปสรรคในการยอมรับ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ รายงานแนะนำว่าควรใช้กลยุทธ์ "ให้ความรู้และพิสูจน์" ซึ่งรวมถึงการทำให้กระบวนการ SROI เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น และการนำเสนอตัวอย่างความสำเร็จจากกรณีศึกษาในประเทศอย่างที่ได้นำเสนอไปแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจ นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในด้านระเบียบวิธีวิจัย เช่น ความยากลำบากในการรวบรวมข้อมูลสำหรับผลลัพธ์เชิงนามธรรม และการมอบมูลค่าทางการเงินให้กับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมซึ่งอาจมีความเป็นอัตวิสัยอยู่บ้าง การรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบและการฝึกอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

5.2 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการปรับใช้ SROI

การนำ SROI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรเป็นไปอย่างมีกลยุทธ์ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดดังนี้:
เริ่มต้นจากขนาดเล็กและขยายผลอย่างชาญฉลาด: องค์กรควรเริ่มต้นด้วยโครงการนำร่องเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจภายในองค์กรก่อนที่จะขยายการประเมินผลไปสู่โครงการขนาดใหญ่ในภายหลัง
ผนวก SROI เข้ากับโครงสร้างเชิงกลยุทธ์: SROI ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงกิจกรรมการจัดทำรายงานครั้งเดียวจบ แต่ควรถูกบูรณาการให้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจขององค์กร ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถจัดลำดับความสำคัญของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสมที่สุด
สร้างวัฒนธรรมการวัดผลกระทบ: การปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่ให้คุณค่าและสนับสนุนการวัดผลกระทบทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญ การให้ความสำคัญกับข้อมูลและผลลัพธ์ที่จับต้องไม่ได้จะช่วยให้แนวคิด SROI สามารถหยั่งรากและสร้างคุณค่าได้อย่างแท้จริง

5.3 อนาคตของการวัดมูลค่าทางสังคมในประเทศไทย

บทบาทของ SROI และเครื่องมือวัดผลกระทบทางสังคมในอนาคตมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการเป็นเครื่องมือสำหรับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprises) ในการดึงดูดเงินทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน การที่องค์กรสามารถจัดทำรายงาน SROI ที่น่าเชื่อถือได้นั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พวกเขาสามารถสื่อสารผลกระทบของตนได้อย่างชัดเจน แต่ยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความพร้อมเชิงสถาบันและความเป็นผู้ใหญ่ขององค์กร ซึ่งรวมถึงความสามารถในการมีระบบการเก็บข้อมูลที่แข็งแกร่ง, ความเข้าใจที่ชัดเจนใน Theory of Change ของตนเอง และวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล สิ่งเหล่านี้ทำให้รายงาน SROI กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในการแสดงความแข็งแกร่งขององค์กรต่อพันธมิตรและนักลงทุนในอนาคต

การนำกรอบการประเมินผลอย่าง SROI มาใช้จะช่วยขับเคลื่อนการจัดสรรทรัพยากรไปสู่โครงการที่มีประสิทธิผลสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และในระยะยาวอาจนำไปสู่การพัฒนากรอบการทำงานที่เป็นมาตรฐานร่วมกันในหลายภาคส่วน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือและส่งเสริมการสร้างมูลค่าทางสังคมในระดับประเทศได้อย่างยั่งยืน

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า