
เรื่อง : แตงโม สกลนคร
ความยากจนหลายมิติในสกลนคร
วิเคราะห์ความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งครอบคลุม 4 มิติหลัก: สังคม, รัฐศาสตร์, เศรษฐกิจ และนิเวศวิทยา เพื่อสร้างแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน
ภาพรวมคนจนและคนเปราะบางในสกลนคร
ข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ แสดงให้เห็นถึงจำนวนประชากรกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความซับซ้อนในการระบุและแก้ไขปัญหาความยากจน
มิติภูมิสังคม
โครงสร้างประชากรที่เปราะบาง ปัญหาครอบครัว และอุปสรรคทางการศึกษาและสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถาบันครอบครัวอ่อนแอและส่งต่อความจนข้ามรุ่น
ปัญหาสำคัญ
- โครงสร้างประชากร: ผู้สูงอายุ, เด็ก, แม่วัยรุ่น (เฉลี่ย 3 คน/วัน)
- ครอบครัวอ่อนแอ: ปัญหาหย่าร้างและยาเสพติด
- การศึกษา: ค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
- สุขภาพ: ผู้ป่วยจิตเวชและคนเร่ร่อนเพิ่มขึ้น
แนวทางแก้ไข
- พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัยด้วยเทคโนโลยี
- จัดสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า ด้านการศึกษาและสาธารณสุข
- ขจัดปัญหายาเสพติดและสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันครอบครัว
มิติภูมิรัฐศาสตร์
ความห่างไกลจากศูนย์กลางเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ และการขาดการมีส่วนร่วมทางการเมือง ทำให้คนจนไม่สามารถเข้าถึงโอกาสและรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจ
ปัญหาสำคัญ
- ขาดการเข้าถึงตลาด โอกาสทางเศรษฐกิจ และองค์ความรู้
- รู้สึกไร้บทบาทและไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
- ถูกเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม และเผชิญการทุจริต
- คนรุ่นใหม่ย้ายถิ่น ทำให้ชุมชนขาดกำลังในการพัฒนา
แนวทางแก้ไข
- ส่งเสริมความรู้ด้านนโยบายรัฐและเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วม
- ยึดหลักธรรมาภิบาล ขจัดการคอร์รัปชัน และส่งเสริมผู้นำที่มีคุณภาพ
- บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง
มิติภูมิเศรษฐศาสตร์
ภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนจนยังคงล้าหลัง มีต้นทุนสูง ราคาผลผลิตผันผวน และประสบปัญหาหนี้สิน ขณะที่อาชีพนอกภาคเกษตรมีจำกัด
ปัญหาสำคัญ
- การเกษตรล้าหลัง ต้นทุนสูง ราคาผลผลิตต่ำ
- แรงงานเกษตรสูงวัย (อายุเฉลี่ย 62.5 ปี)
- เป็นหนี้ในระบบและนอกระบบ ดอกเบี้ยสูง
- ขาดความหลากหลายทางอาชีพ และถูกหลอกให้ลงทุน
แนวทางแก้ไข
- สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการท่องเที่ยว
- พัฒนาทักษะผู้ประกอบการและความรู้ด้านการตลาดสมัยใหม่
- สนับสนุนปัจจัยการผลิต ที่ดินทำกิน และแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ
สัดส่วนแรงงานในภาคเกษตร
72,117 บาท
ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว (GPP) ปี 2565
มิติภูมินิเวศ
ข้อจำกัดทางกายภาพ เช่น การขาดแคลนน้ำ, ดินเสื่อมโทรม, และภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ซ้ำเติมปัญหาความยากจน โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ
ปัญหาสำคัญ
- พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทาน ขาดแคลนน้ำ
- สภาพอากาศแปรปรวน: น้ำท่วมสลับภัยแล้งรุนแรง
- ดินเค็มและเสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมี
- ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองและเกิดข้อพิพาท
แนวทางแก้ไข
- ส่งเสริมการใช้ที่ดินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
- พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างรายได้ให้ชุมชน
- สนับสนุนการทำเกษตรที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน
สัดส่วนพื้นที่เกษตรในเขตชลประทาน
รายงานการวิเคราะห์ความยากจนหลายมิติในจังหวัดสกลนคร: บทวิเคราะห์เชิงลึกและกรอบยุทธศาสตร์เพื่อการบรรเทาความยากจนอย่างยั่งยืน
ความยากจนในจังหวัดสกลนครไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากรายได้ต่ำเพียงด้านเดียว แต่เป็นปรากฏการณ์เชิงซ้อนที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของความเปราะบางทางเศรษฐกิจ ความเสื่อมถอยทางสังคม และอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก รายงานฉบับนี้ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อฉายภาพความท้าทายที่ซับซ้อนนี้อย่างเป็นระบบ พบว่าเศรษฐกิจของจังหวัด ซึ่งพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก มีความเปราะบางสูงเนื่องจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงานสูงวัย ขณะที่โครงสร้างประชากรประสบปัญหาการย้ายถิ่นของแรงงานวัยหนุ่มสาว ทำให้เกิด "ครัวเรือนแหว่งกลาง" ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทุนมนุษย์ในระยะยาว นอกจากนี้ ปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างมายาวนาน ยังคงบ่อนทำลายความมั่นคงในการดำรงชีวิตของประชาชนจำนวนมาก แม้ว่าจะมีความพยายามจากภาครัฐและภาคประชาสังคมผ่านแพลตฟอร์มการแก้ปัญหาความยากจนแบบบูรณาการ แต่การขาดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพในระดับปฏิบัติการยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ การวิเคราะห์สรุปได้ว่า การบรรเทาความยากจนในสกลนครอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องใช้กรอบยุทธศาสตร์แบบองค์รวมที่มุ่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างควบคู่กันไป
1. บทนำ: การทำความเข้าใจความยากจนหลายมิติในจังหวัดสกลนคร
แนวคิดเรื่องความยากจนหลายมิติได้ขยายขอบเขตการพิจารณาออกไปนอกเหนือจากรายได้และกำลังซื้อเพียงอย่างเดียว โดยครอบคลุมถึงการขาดแคลนโอกาส การเข้าถึงทรัพยากร และสวัสดิการทางสังคมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างมีศักยภาพ กรอบการวิเคราะห์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจสถานการณ์ในจังหวัดสกลนคร เนื่องจากปัญหาความยากจนในพื้นที่ไม่ได้เป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลพวงจากความท้าทายเชิงโครงสร้างและทางสังคมที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
จังหวัดสกลนครมีประชากรทั้งสิ้น 1,145,187 คน ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งจัดอยู่ในลำดับที่ 36 ของประเทศ จากการสำรวจพบว่ามีครัวเรือนที่เข้าข่ายยากจนจริงจำนวน 12,384 ครัวเรือน และมีสมาชิกในครัวเรือนดังกล่าวรวม 66,536 คน รายงานนี้ได้ทำการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างโดยบูรณาการข้อมูลจากหลายภาคส่วน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ เพื่อระบุสาเหตุรากเหง้าของปัญหาความยากจนในสกลนคร และประเมินประสิทธิผลของนโยบายปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอภาพที่ครอบคลุมและรอบด้านสำหรับใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายในอนาคต
2. รากฐานทางเศรษฐกิจของความยากจน: ความเปราะบางและความผันผวน
การวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจของจังหวัดสกลนครแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างที่ขาดความมั่นคง ซึ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากอยู่ในสภาวะที่เปราะบางต่อความผันผวนภายนอกและต้องพึ่งพากลไกการเอาตัวรอดที่ไม่ยั่งยืน
2.1 การวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มหภาคและภาวะการเงินของครัวเรือน
ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) และรายได้ต่อหัวต่อปีของประชากรสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่จำกัดของสกลนคร ในปี พ.ศ. 2565 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดมีมูลค่า 70,457 ล้านบาท ขณะที่รายได้ประชากรต่อหัว (GPP per capita) ในปี พ.ศ. 2564 อยู่ที่ 72,117 บาท เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับจังหวัดใกล้เคียงในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยในปี พ.ศ. 2562 จังหวัดขอนแก่นมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยสูงถึง 124,729 บาทต่อปี ในขณะที่กาฬสินธุ์และร้อยเอ็ดมีรายได้ 73,587 บาท และ 73,567 บาทต่อปีตามลำดับ และข้อมูลอีกแหล่งระบุ GPP per capita ของกาฬสินธุ์ในปี พ.ศ. 2561 อยู่ที่ 47,358 บาท แสดงให้เห็นว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจของสกลนครยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขรายได้เฉลี่ยนี้มีความน่ากังวลเป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของครัวเรือน ข้อมูลจากปี พ.ศ. 2565 ระบุว่าครัวเรือนในสกลนครมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 17,236 บาท ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อปีประมาณ 206,832 บาท ตัวเลขนี้สูงกว่า GPP per capita ของจังหวัดอย่างมาก ความแตกต่างที่สำคัญนี้ชี้ให้เห็นว่ารายได้จากการผลิตในท้องถิ่นไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากต้องพึ่งพาแหล่งรายได้อื่นนอกเหนือจากการทำงานในพื้นที่ เช่น เงินส่งกลับจากแรงงานที่ย้ายถิ่นไปทำงานในเมืองใหญ่ หรือการกู้ยืมและก่อหนี้
ข้อจำกัดด้านรายได้ส่งผลให้ครัวเรือนยากจนต้องพึ่งพาการซื้อสินค้าอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องซักผ้า รถจักรยานยนต์ หรือโทรศัพท์มือถือ โดยการผ่อนชำระ ซึ่งต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูง วงจรนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางการเงินอย่างลึกซึ้ง โดยที่ระบบเศรษฐกิจที่ไม่สามารถสร้างมูลค่าได้เพียงพอต่อค่าครองชีพ ได้ผลักให้ประชาชนต้องเข้าสู่วังวนของหนี้สิน ซึ่งบ่อนทำลายศักยภาพในการฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต หรือการลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทำให้ความยากจนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ยั่งยืนและถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นต่อไป2.2 ภาคเกษตรกรรม: จุดแข็งที่มาพร้อมกับความเปราะบาง
ภาคเกษตรกรรมถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจจังหวัดสกลนคร โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 25.7 ของ GPP ผลิตภัณฑ์สำคัญของจังหวัด เช่น เนื้อโคขุนโพนยางคำ และผ้าย้อมคราม สามารถสร้างรายได้ในระดับสูง และสะท้อนถึงจุดแข็งเชิงเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรมในพื้นที่กลับเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่สำคัญหลายประการ ซึ่งทำให้จุดแข็งดังกล่าวมีความเปราะบางอย่างมาก
อุปสรรคแรกคือปัญหาด้านแรงงาน ข้อมูลระบุว่าแรงงานภาคเกษตรกรรมในจังหวัดสกลนครมีอายุเฉลี่ยสูงถึง 62.5 ปี แรงงานกลุ่มนี้ซึ่งอยู่ในวัยสูงอายุย่อมมีข้อจำกัดในการปรับตัวและเรียนรู้เทคโนโลยีการเกษตรใหม่ๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพในการแข่งขัน นอกจากนี้ ผลผลิตทางการเกษตรของสกลนครยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในตลาดโลก ตัวอย่างเช่น ราคาเนื้อโคขุนโพนยางคำที่มีคุณภาพสูงกลับมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรโดยตรง ปัญหาเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลงจากข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น เช่น ที่ดินทำกิน เทคโนโลยี ปัจจัยการผลิต และแหล่งเงินทุน
ภาวะเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรมของสกลนครจึงอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้งกันอย่างยิ่ง: ในด้านหนึ่งมีศักยภาพในการสร้างรายได้สูงจากผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับถูกบั่นทอนด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างต่อเนื่อง การพึ่งพาภาคส่วนที่ไม่มีเสถียรภาพนี้อย่างเข้มข้น จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความยากจน
ตารางที่ 1: ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและประชากรที่สำคัญของจังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียง| จังหวัด | ประชากร (คน) | GPP (ล้านบาท) | GPP Per Capita (บาท/คน/ปี) | ค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉลี่ย (บาท/เดือน) | ภาคเศรษฐกิจหลัก |
| สกลนคร | 1,145,187 (พ.ศ. 2565) | 70,457 (พ.ศ. 2565) | 72,117 (พ.ศ. 2564) | 17,236 (พ.ศ. 2565) | เกษตรกรรม (ร้อยละ 25.7) |
| ขอนแก่น | - | - | 124,729 (พ.ศ. 2562) | - | การค้า/บริการท่องเที่ยว |
| กาฬสินธุ์ | - | - | 73,587 (พ.ศ. 2562) | - | - |
| ร้อยเอ็ด | - | - | 73,567 (พ.ศ. 2562) | - | - |
3. โครงสร้างทางสังคม: ผลกระทบเชิงมนุษย์และปัญหาความยากจนข้ามรุ่น
แรงกดดันทางเศรษฐกิจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่รายได้ที่ไม่เพียงพอ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างทางสังคมและพัฒนาการของทุนมนุษย์ นำไปสู่ปัญหาที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
3.1 การเปลี่ยนแปลงทางประชากรและปรากฏการณ์ "ครัวเรือนแหว่งกลาง"
ปัญหาการย้ายถิ่นของแรงงานวัยหนุ่มสาวเพื่อไปทำงานในพื้นที่อื่นเป็นผลโดยตรงจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น การย้ายถิ่นนี้ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ครัวเรือนแหว่งกลาง" ซึ่งเป็นสภาพที่พ่อแม่วัยทำงานส่วนหนึ่งต้องออกจากพื้นที่เพื่อหารายได้ ทิ้งให้ผู้สูงอายุและเด็กต้องดูแลกันเอง ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางสถิติ แต่เป็นการบั่นทอนโครงสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ โดยถึงแม้ผู้สูงอายุจะสามารถดูแลเด็กได้ในระดับหนึ่ง แต่การขาดการสนับสนุนจากพ่อแม่ย่อมส่งผลกระทบในเชิงลึกต่อพัฒนาการของเด็กและโอกาสทางการศึกษาของพวกเขา
นอกจากนี้ ครัวเรือนยากจนในสกลนครยังมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้ว่าการลงทุนทางการศึกษาในเด็กจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวสูงถึง 3.3 ล้านบาทตลอดช่วงชีวิตการทำงานของเด็ก แต่ครัวเรือนยากจนพิเศษกลับมีรายได้เฉลี่ยเพียง 34 บาทต่อวัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาหลายประเภท เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าเดินทาง และค่าอุปกรณ์ สภาพเช่นนี้ทำให้เด็กและเยาวชนจากครัวเรือนยากจนขาดโอกาสที่จะได้รับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการหลุดพ้นจากวงจรความยากจน การขาดแคลนแรงงานมีทักษะในอนาคตจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขาดโอกาสทางการศึกษาในปัจจุบัน วงจรนี้ชี้ให้เห็นว่าความยากจนในสกลนครเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง3.2 ปัญหาสาธารณสุขและความเปราะบางทางสังคม
ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อปัญหาสุขภาพและสังคมในพื้นที่ ข้อมูลระบุถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยสุขภาพจิตและผู้ป่วยจิตเวช รวมถึงคนเร่ร่อนไร้บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสวัสดิการจากภาครัฐเป็นหลังนอกจากนี้ ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นยังเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ข้อมูลในปี พ.ศ. 2562 พบว่าอัตราการคลอดมีชีพในหญิงอายุ 10-14 ปี อยู่ที่ 1.5 ต่อประชากรหญิง 1,000 คน และในหญิงอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 44.8 ต่อประชากรหญิง 1,000 คน การศึกษาในอำเภอเมืองสกลนครในช่วงปี พ.ศ. 2558-2562 ยังพบว่ามีหญิงคลอดวัยรุ่นถึง 1,018 คน (ร้อยละ 12.7) ปัจจัยเสี่ยงของการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีหลายด้าน เช่น การศึกษาต่ำ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ไม่ดี และการขาดความรู้เรื่องเพศศึกษา สถานการณ์นี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับปรากฏการณ์ครัวเรือนแหว่งกลาง การที่ครอบครัวขาดการสื่อสารที่เหมาะสม และการที่เยาวชนขาดโอกาสทางการศึกษาที่ดี สามารถนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงและปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนได้ ปัญหานี้จึงไม่ได้เป็นเพียงประเด็นสาธารณสุข แต่เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและการย้ายถิ่นของแรงงาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่แยกขาดจากกันไม่ได้ระหว่างมิติเศรษฐกิจและมิติทางสังคม
4. อุปสรรคเชิงโครงสร้างและสิ่งแวดล้อม: ปัญหาที่แก้ไขได้ยาก
นอกเหนือจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว จังหวัดสกลนครยังเผชิญกับอุปสรรคเชิงโครงสร้างและสิ่งแวดล้อมที่กัดเซาะรากฐานการพัฒนาในระยะยาว
4.1 ปัญหาที่ดิน: ข้อพิพาทที่ยืดเยื้อและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
ปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดและยาวนานที่สุดในสกลนคร โดยเฉพาะข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินและที่อยู่อาศัยที่ทับซ้อนกับแนวเขตพื้นที่หนองหาน ซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานกว่า 80 ปี ล่าสุด พื้นที่ดังกล่าวกว่า 49,000 ไร่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ราชพัสดุและเขตสงวนหวงห้ามเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ทำให้ชาวบ้านกว่า 15,000 ครอบครัวที่อาศัยและทำกินมาหลายชั่วอายุคนต้องเผชิญกับความกังวลว่าจะถูกขับไล่หรือต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินของตนเอง
สถานการณ์นี้สะท้อนความขัดแย้งที่สำคัญระหว่างนโยบายการพัฒนาในระดับมหภาคกับความมั่นคงของประชาชนในระดับพื้นที่ แม้ว่าภาครัฐจะมีโครงการพัฒนาหนองหานด้วยงบประมาณมหาศาลกว่า 7.4 พันล้านบาทเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่การดำเนินงานกลับขาดการบูรณาการที่ชัดเจนระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมธนารักษ์และกรมประมง ส่งผลให้การแก้ปัญหาล่าช้าและไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ปัญหาข้อพิพาทที่ดินจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของกฎหมายและเอกสารสิทธิ์ แต่เป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่บ่อนทำลายความมั่นคงในชีวิตของผู้คนอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้พวกเขาไม่สามารถวางแผนการลงทุนหรือพัฒนาอาชีพได้อย่างยั่งยืน และความไม่มั่นคงนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในรากเหง้าสำคัญของปัญหาความยากจนในพื้นที่
4.2 ความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรธรรมชาติ
ปัญหาดินเค็มเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคเชิงสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของจังหวัด ข้อมูลระบุว่าพื้นที่ของสกลนครประมาณร้อยละ 47.24 หรือกว่า 2,836,163 ไร่ ประสบปัญหาดินเค็มในระดับปานกลาง ปัญหานี้ทำให้ผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก ลดลงอย่างมาก จนบางครั้งเกษตรกรประสบภาวะขาดทุนถึง 2,000-3,000 บาทต่อไร่ การขาดทุนนี้นำไปสู่วงจรหนี้สินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนวัยทำงานต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อหางานทำในเมืองใหญ่ ปัญหานี้จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของระบบนิเวศ แต่เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ผลักดันให้เกิดความยากจนและการย้ายถิ่น
นอกจากนี้ จังหวัดสกลนครยังมีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในรูปแบบที่ตรงข้ามกัน ทั้งภัยแล้งและอุทกภัย ซึ่งยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับการทำเกษตรกรรม และทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงอย่างต่อเนื่อง
5. นโยบายและการบริหารจัดการ: การประเมินภูมิทัศน์ของโครงการริเริ่มต่างๆ
ในภาวะที่ความยากจนเป็นปัญหาเชิงซ้อน ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ ได้พยายามริเริ่มโครงการเพื่อบรรเทาปัญหา แต่การดำเนินงานยังคงเผชิญกับความท้าทายและข้อจำกัดในทางปฏิบัติ5.1 "แพลตฟอร์มขจัดความยากจนสกลนคร": กระบวนทัศน์ใหม่ที่ยังต้องพิสูจน์ผล
การจัดตั้ง "แพลตฟอร์มขจัดความยากจนสกลนคร" เป็นความพยายามเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการย้ายจากการทำงานแบบแยกส่วนมาสู่การทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน แนวคิดหลักคือการใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ("One Data, One Plan") เพื่อค้นหาและช่วยเหลือครัวเรือนยากจนอย่างแม่นยำและเบ็ดเสร็จ โดยมีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนและเชื่อมโยงข้อมูลกับภาคีเครือข่ายต่างๆ
"กุดบากโมเดล" ซึ่งเป็นโครงการนำร่องภายใต้แพลตฟอร์มนี้ ได้นำกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) มาใช้ โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบแนวทางการแก้ไขด้วยตนเอง รายงานผลลัพธ์เบื้องต้นชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จที่น่าพอใจ เช่น ครัวเรือนเป้าหมายมีทักษะอาชีพและรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 และเกิดวิสาหกิจชุมชนขึ้น โครงการนี้ยังได้ริเริ่มการพัฒนาอาชีพใหม่ๆ เช่น การปลูกผักปลอดภัยแบบแปลงรวม และการยกระดับผลิตภัณฑ์ไข่น้ำสู่เชิงพาณิชย์อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแพลตฟอร์มนี้จะได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อแก้ไขปัญหาความร่วมมือแบบแยกส่วน แต่การดำเนินงานในทางปฏิบัติยังคงเผชิญกับความท้าทายจากระบบราชการแบบเก่าที่ยังคงมีอยู่ ดังจะเห็นได้จากปัญหาข้อพิพาทที่ดินหนองหาน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุด แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเนื่องจากการขาดอำนาจที่ชัดเจนในการตัดสินใจระหว่างหน่วยงาน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ากระบวนทัศน์การบริหารจัดการใหม่ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ระบบเดิมได้อย่างสมบูรณ์
5.2 การประเมินโครงการพัฒนาที่สำคัญ
- โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 3 (เต่างอย): โรงงานแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของกิจการเพื่อสังคมที่สามารถเป็นกลไกสำคัญในการบรรเทาความยากจนได้ โรงงานดอยคำทำหน้าที่ยกระดับผลผลิตทางการเกษตร สร้างรายได้ให้เกษตรกร และสร้างงานในท้องถิ่นให้กับบุคลากรหลากหลายสาขา การดำเนินงานของโรงงานช่วยเชื่อมโยงเกษตรกรรายย่อยเข้ากับตลาดที่มั่นคงและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต ซึ่งเป็นแนวทางที่ควรขยายผลไปสู่ห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรอื่นๆ ในพื้นที่
- โครงการโครงสร้างพื้นฐานและการท่องเที่ยว: โครงการพัฒนาถนนและเส้นทางคมนาคม รวมถึงโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์หนองหาน มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัด อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่ประชาชนยากจนจะได้รับจากโครงการเหล่านี้อาจไม่ชัดเจนนัก โดยเฉพาะเมื่อต้องพิจารณาควบคู่ไปกับความกังวลเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินของชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบหนองหาน
- นโยบายแก้หนี้: ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรในสกลนครรุนแรงถึงขั้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้ามามีส่วนร่วมใน "โครงการแก้หนี้เกษตรกรสกลนครโมเดล" และมีโครงการพักชำระหนี้จาก ธ.ก.ส. อย่างไรก็ตาม นโยบายเหล่านี้มักเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ที่เพียงพอต่อการชำระหนี้ในระยะยาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
| มิติความยากจน | ความท้าทายหลัก | ข้อมูล/ผลลัพธ์ที่สนับสนุน | แหล่งข้อมูล |
| เศรษฐกิจ | รายได้ต่ำกว่าค่าครองชีพ | GPP per capita (พ.ศ. 2564) อยู่ที่ 72,117 บาท/ปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายครัวเรือน (พ.ศ. 2565) อยู่ที่ 206,832 บาท/ปี | |
| วงจรหนี้สิน | ครัวเรือนยากจนต้องซื้อสินค้าด้วยการผ่อนชำระดอกเบี้ยสูง | ||
| ภาคเกษตรเปราะบาง | เกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 62.5 ปี และขาดแคลนเทคโนโลยีและเงินทุน | ||
| สังคม | การย้ายถิ่นของแรงงาน | แรงงานวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ย้ายออกจากพื้นที่เพื่อหางานทำ | |
| "ครัวเรือนแหว่งกลาง" | เด็กและผู้สูงอายุต้องพึ่งพากัน ขาดการดูแลจากพ่อแม่วัยทำงาน | ||
| ปัญหาสาธารณสุข | พบผู้ป่วยจิตเวชและคนเร่ร่อนเพิ่มขึ้น อัตราการคลอดมีชีพในหญิงวัยรุ่นสูง | ||
| ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา | ครัวเรือนยากจนพิเศษมีรายได้เพียง 34 บาท/วัน ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษา | ||
| โครงสร้าง | ข้อพิพาทที่ดิน | ชาวบ้านกว่า 15,000 ครอบครัวกังวลเรื่องการเช่าที่ดินทำกินของตนเองรอบหนองหาน | |
| ความไม่ชัดเจนด้านนโยบาย | การพัฒนาหนองหานขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ||
| ปัญหาดินเค็ม | พื้นที่ร้อยละ 47.24 ของจังหวัดมีปัญหาดินเค็ม ทำให้ผลผลิตลดลงและเกิดหนี้สิน | ||
| การบริหารจัดการ | กลไกแบบแยกส่วน | หน่วยงานต่างๆ ทำงานแยกกัน ขาดการใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน | |
| การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม | คนจนมีภาระสูงในการเข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีข้อพิพาทที่ดิน |
6. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์
6.1 บทสรุปการวิเคราะห์
ความยากจนในจังหวัดสกลนครเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกและไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการแทรกแซงเพียงด้านใดด้านหนึ่ง รายงานนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาต่างๆ อย่างเป็นระบบ กล่าวคือ ความเปราะบางของเศรษฐกิจภาคเกษตรที่สร้างรายได้ไม่เพียงพอ (มิติเศรษฐกิจ) ได้ผลักดันให้เกิดการย้ายถิ่นของแรงงานวัยหนุ่มสาว (มิติสังคม) ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมถอยของโครงสร้างครอบครัวและทุนมนุษย์ (มิติสังคม) ปัญหาเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้อุปสรรคเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น ข้อพิพาทที่ดินและปัญหาดินเค็ม (มิติโครงสร้าง) ซึ่งไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพจากภาครัฐเนื่องจากข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการและการขาดการบูรณาการที่แท้จริง (มิติการบริหารจัดการ) การแก้ปัญหาความยากจนในสกลนครจึงต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุมและมีเป้าหมายที่ชัดเจนในทุกมิติ
6.2 ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
เพื่อบรรเทาความยากจนอย่างยั่งยืนในจังหวัดสกลนคร รายงานฉบับนี้เสนอให้มีการดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์แบบองค์รวม ดังต่อไปนี้
ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ
- ส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูงและยืดหยุ่น: พัฒนาภาคเกษตรกรรมโดยเน้นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพ (GAP) และการขยายผลโมเดลกิจการเพื่อสังคมอย่างโรงงานหลวงดอยคำ เพื่อสร้างตลาดที่มั่นคงให้กับเกษตรกร
- กระจายอาชีพและทักษะ: จัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ๆ นอกภาคการเกษตรให้กับเยาวชนและแรงงานในชุมชน เพื่อลดการพึ่งพิงรายได้จากภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว และสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพในสาขาที่มีรายได้สูงขึ้น
ยุทธศาสตร์ด้านสังคมและทุนมนุษย์
- สนับสนุน "ครัวเรือนแหว่งกลาง": จัดตั้งโครงการที่ให้การสนับสนุนและติดตามดูแลเด็กและเยาวชนที่อยู่ในครัวเรือนแหว่งกลางอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการศึกษาและสวัสดิการทางสังคม
- ลงทุนในการศึกษา: รัฐควรพิจารณาเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนสำหรับนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพื่อลดภาระทางการเงินของครอบครัวและป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา
- สร้างความเข้มแข็งของชุมชน: สนับสนุนกลไกในระดับชุมชนให้มีบทบาทในการค้นหาและช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการสร้างระบบสวัสดิการเกื้อกูลกันในท้องถิ่น
ยุทธศาสตร์ด้านโครงสร้างและสิ่งแวดล้อม
- เร่งรัดการแก้ปัญหาที่ดิน: รัฐบาลควรยกระดับปัญหาข้อพิพาทที่ดินหนองหานเป็นวาระแห่งชาติ และจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจำแนกพื้นที่การใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตของชาวบ้านอย่างเป็นธรรม
- ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม: ขยายโครงการฟื้นฟูดินเค็ม และพัฒนาแหล่งน้ำ ให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง
ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการ:
- เสริมสร้างแพลตฟอร์มแก้จน: ผลักดัน "Sakon Nakhon Poverty Platform" ให้เป็นกลไกการทำงานที่ได้รับความไว้วางใจและมีอำนาจในการประสานงานอย่างแท้จริง โดยส่งเสริมให้หน่วยงานท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
| โครงการ/นโยบาย | วัตถุประสงค์ (ตามแหล่งข้อมูล) | ผลลัพธ์ที่รายงาน | ความท้าทายที่พบ |
| แพลตฟอร์มแก้จนสกลนคร | ยกระดับกลไกความร่วมมือเพื่อขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำด้วยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน | ครัวเรือนเป้าหมายมีทักษะอาชีพและรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 แลเกิดดวิสาหกิจชุมชน | ยังคงต้องดำเนินการควบคู่กับระบบราชการแบบเก่าที่แยกส่วน และความร่วมมือในพื้นที่ยังต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง |
| โครงการพัฒนาหนองหาน | ปรับปรุงภูมิทัศน์และยกระดับการท่องเที่ยวริมหนองหาน เพื่อเพิ่มมูลค่า GPP | การจัดสรรงบประมาณเพื่อโครงการก่อสร้างต่างๆ เช่น สะพานและทางเดิน-วิ่ง กว่า 795 ล้านบาท | เกิดความล่าช้าจากการขาดการบูรณาการของหลายหน่วยงาน และโครงการไม่สอดคล้องกับปัญหาเร่งด่วนของประชาชนที่ต้องการความมั่นคงทางที่ดินและที่อยู่อาศัย |
| โรงงานหลวงฯ ดอยคำ | เป็นกิจการเพื่อสังคมที่ส่งเสริมและรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและเป็นธรรม | สร้างอาชีพและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตเกษตรกร และเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่คำนึงถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อม | ประสบความสำเร็จในด้านการบริหารจัดการแต่ข้อมูลที่แสดงเป็นผลลัพธ์ในระดับโครงการ ไม่ได้ให้รายละเอียดผลกระทบในระดับกว้างต่อทั้งจังหวัด |
| นโยบายแก้หนี้เกษตรกร | ช่วยเหลือเกษตรกรในการลดภาระหนี้และให้ความรู้ทางการเงิน | มีการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเกษตรกร 117 ราย และมีการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรรายย่อย | เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ที่เพียงพอต่อการหลุดพ้นจากวงจรหนี้สินอย่างถาวร |