
ชุมชนนวัตกรรมบ้านดงสาร
การเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคตผ่านการเรียนรู้และลงมือทำ
ความท้าทาย: ช่องว่างระหว่างวัยในชุมชนที่เข้มแข็ง
ชุมชนบ้านดงสารมีความสำเร็จรอบด้านจากโครงการเกษตรมูลค่าสูง แต่กลับเผชิญความกังวลสำคัญ นั่นคือการขาดผู้สืบทอดเจตนารมณ์จากคนรุ่นใหม่ เพื่อสานต่อการพัฒนาให้ยั่งยืน
กองทุนหมุนเวียน
สร้างความมั่นคงทางสังคมให้วิสาหกิจชุมชน
รากฐานที่มั่นคง
- พัฒนาคนด้วยเทคโนโลยีคัดพันธุ์ข้าว
- วางแผนจัดการทรัพยากรสู่แหล่งท่องเที่ยว
- สร้าง "พิพิธภัณฑ์เกษตรกรรมที่มีชีวิต"
ช่องว่างที่ต้องเติมเต็ม
ขาดการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน
จุดประกาย: จากสัญญาใจสู่ห้องเรียนสัมมาชีพ
ด้วยความมุ่งมั่นของนักวิจัยและผู้นำชุมชน จึงเกิด "สัญญาใจ" ที่จะบูรณาการความคาดหวังของทุกฝ่าย สร้างกิจกรรมที่เชื่อมคนทุกวัยเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นค่าย "เพาะเห็ดเพาะเมล็ดพันธุ์ดงสาร"
พลังแห่งความร่วมมือ 4 ประสาน
ชุมชน
พ่อเด่น
โรงเรียน
บ้านดงสาร
นักวิจัย
ม.ราชภัฏสกลนคร
เอกชน
โค้งคำนับฟาร์ม
ลงมือทำ: ค่ายเพาะเห็ด 3 วัน 2 คืน
กิจกรรมไม่ได้เป็นเพียงการอบรม แต่เป็นการลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน เปลี่ยนความกังวลเรื่องเด็กจะเบื่อให้กลายเป็นความสนุกและการเรียนรู้ที่มีชีวิตชีวา
ผลลัพธ์จากค่าย
30
เยาวชนเข้าร่วม
3 วัน 2 คืน
เรียนรู้เต็มที่
4,000
ก้อนเห็ดเป้าหมาย
100%
ลงมือปฏิบัติจริง
กระบวนการเรียนรู้
-
1
ผสมสูตรอาหาร
-
2
บรรจุใส่ถุง (อัดก้อน)
-
3
นึ่งฆ่าเชื้อ 5 ชม.
-
4
หยอดเชื้อเห็ด
-
5
บ่มเชื้อ 30-45 วัน
การเปลี่ยนแปลงมุมมองของเยาวชน
การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงได้เปลี่ยนความคาดหวังเริ่มต้นของเด็กๆ ไปอย่างสิ้นเชิง สร้างความเข้าใจและความผูกพันกับกิจกรรมอย่างแท้จริง
ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน: จากนวัตกรชุมชนสู่นวัตกรรมสังคม
โครงการนี้ไม่ใช่แค่การสอนอาชีพ แต่คือการจุดประกายความหวัง สร้าง "นวัตกรชุมชน" รุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้บ้านดงสารกลายเป็น "สังคมแห่งนวัตกรรม" ของตนเอง
องค์ประกอบแห่งความสำเร็จ
ความสำเร็จของโครงการไม่ได้มาจากปัจจัยเดียว แต่เป็นการผสมผสานองค์ประกอบสำคัญที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มากกว่าแค่การเพาะเห็ด
"การให้อย่างมีคุณค่า
รับอย่างมีศักดิ์ศรี"
หลักการสำคัญที่เปลี่ยนจากการ "แจก" เป็นการ "สร้างประสบการณ์" ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้
ก้าวต่อไป
มิถุนายน
เปิดดอกและจำหน่าย
อนาคต
ต่อยอดสู่สบู่สมุนไพร
เรื่อง: แตงโม สกลนคร
รายงานเป็นการวิเคราะห์เชิงลึกถึงกรณีศึกษาของชุมชนบ้านดงสาร จังหวัดสกลนคร เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจากชุมชนที่เผชิญกับปัญหายากจนเรื้อรังไปสู่การเป็นต้นแบบของชุมชนนวัตกรรม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโครงการช่วยเหลือแบบฉาบฉวย แต่เป็นผลจากยุทธศาสตร์การแทรกแซงด้วยงานวิจัยที่บูรณาการเข้ากับบริบทของพื้นที่อย่างลึกซึ้ง หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างหลายภาคส่วน โดยมีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครในฐานะผู้ขับเคลื่อนเชิงวิชาการ, หน่วย บพท. (หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่) ในฐานะแหล่งทุนยุทธศาสตร์ระยะยาว, และที่สำคัญที่สุดคือผู้นำชุมชนและชาวบ้านเองในฐานะ "นวัตกรชุมชน"
รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าโครงการบ้านดงสารไม่ได้เป็นเพียงแค่การดำเนินกิจกรรมต่างๆ อย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของ "แพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ" ระดับจังหวัด ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ยั่งยืน การประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงกลยุทธ์ เช่น "สัญญาใจ" เพื่อสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่น และ "Co-Share Technology" ที่ทำให้เกิดแหล่งเรียนรู้เคลื่อนที่ ล้วนเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่ช่วยให้การพัฒนาสามารถเข้าถึงและได้รับการยอมรับจากชุมชนอย่างแท้จริง การส่งมอบประสบการณ์ตรงและโอกาสในการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดการปลูกฝังผู้สืบทอดที่พร้อมจะสานต่อปณิธานของชุมชนในระยะยาว การวิเคราะห์นี้สรุปว่าบ้านดงสารเป็นกรณีศึกษาที่ทรงคุณค่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการสร้างคนและระบบนิเวศที่เอื้อต่อนวัตกรรมจากภายใน
1. บริบทของบ้านดงสาร: ภาพสะท้อนความท้าทายเชิงรากฐาน
ก่อนที่โครงการวิจัยจะเข้ามาพัฒนา ชุมชนบ้านดงสาร ตำบลโพนงาม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร เผชิญกับความยากจนที่ฝังรากลึกและปัญหาเชิงระบบที่ซับซ้อน โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ปัญหาด้านเศรษฐกิจเท่านั้น จากการสำรวจข้อมูลในปี 2565 พบว่าครัวเรือนในพื้นที่นี้มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 100,000 บาทต่อปี และยังคงมีภาระหนี้สินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) รวมถึงสถาบันการเงินอื่นๆ ซึ่งสะท้อนถึงวงจรรายได้น้อยและหนี้สินที่พอกพูน ความยากจนนี้มีรากฐานมาจากความเปราะบางทางเกษตรกรรม ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา โดยเฉพาะ "นาปรัง" ที่มีปัญหาด้านคุณภาพและราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีที่ต้องซื้อหรือแลกเปลี่ยนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ท้าทาย บ้านดงสารตั้งอยู่ใน "ทุ่งพันขัน" ซึ่งเป็นพื้นที่ริมแม่น้ำสงครามที่อุดมสมบูรณ์แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง ฤดูฝนน้ำจะท่วมขัง ส่วนฤดูร้อนก็เกิดไฟป่า การทำเกษตรกรรมจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ชุมชนยังต้องเผชิญกับความล้มเหลวของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ ดังที่ปรากฏหลักฐานว่าโครงการสร้างระบบประปาหมู่บ้านถูกทิ้งร้างมานานกว่าเก้าปี ทำให้ชาวบ้านกว่า 300 หลังคาเรือนยังคงขาดแคลนน้ำใช้ในชีวิตประจำวัน การผสมผสานของความเปราะบางทางเศรษฐกิจ การเกษตรที่ไม่มีประสิทธิภาพ และความล้มเหลวของโครงการภายนอก ได้สร้างสภาพการณ์ที่ความยากจนไม่ใช่เพียงปัญหาทางการเงิน แต่เป็นปัญหาเชิงระบบที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก การขาดแคลนทุนทรัพย์เชื่อมโยงกับคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรที่ต่ำ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ที่ดีและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ และทั้งหมดนี้ก็ถูกซ้ำเติมด้วยการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ การวิเคราะห์นี้จึงชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาความยากจนในบ้านดงสารจำเป็นต้องใช้วิธีการแบบองค์รวมที่มองเห็นความเชื่อมโยงของทุกมิติ และนั่นคือสิ่งที่ทีมวิจัยได้เข้ามาดำเนินการ

การเปลี่ยนแปลงของบ้านดงสารเริ่มต้นจากการแทรกแซงของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ภายใต้การสนับสนุนทุนจากหน่วย บพท. (หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่) การดำเนินงานของทีมวิจัยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากโครงการพัฒนาแบบดั้งเดิม โดยพวกเขาไม่ได้เข้ามาในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่เข้ามาในฐานะ "ผู้ร่วมแก้ปัญหา" และสร้างความเชื่อมั่นผ่านยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า "สัญญาใจ"
ยุทธศาสตร์นี้มีรากฐานมาจากแนวคิดในหนังสือ Poor Economics ที่เสนอว่าการให้ความช่วยเหลือคนจนอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การให้ข้อมูลหรือสร้างแรงจูงใจ สามารถสร้างผลกระทบที่สำคัญอย่างเหลือเชื่อได้ ทีมนักวิจัยได้นำแนวคิดนี้มาใช้ด้วยการเข้าถึงชุมชนอย่างเป็นกันเองและโปร่งใส พวกเขาเข้าพักแรมในพื้นที่และใช้เวลาช่วงค่ำคืนพูดคุยกับผู้นำชุมชนและชาวบ้านอย่างเปิดอก เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา วางแผนงาน และกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ร่วมกันอย่างชัดเจน การสื่อสารแบบตรงไปตรงมานี้ไม่เพียงแต่สร้างความไว้วางใจ แต่ยังทำให้ชาวบ้านรู้สึกเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการพัฒนา
โครงการบ้านดงสารไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่าของหน่วย บพท. ที่มีเป้าหมายในการยกระดับจังหวัดสกลนครสู่ "พื้นที่วิจัยยุทธศาสตร์เพื่อขจัดความยากจน" โดยโครงการในบ้านดงสารเป็นเสมือน "พื้นที่ต้นแบบ" หรือ "Prototype" ของการดำเนินงานตามแพลตฟอร์มขจัดความยากจนระดับจังหวัด แพลตฟอร์มนี้ครอบคลุมการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสามแห่งในจังหวัดสกลนคร และภาคีเครือข่ายต่างๆ การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 และการได้รับทุนสนับสนุนต่อเนื่องจาก บพท. ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงยุทธศาสตร์จากการพัฒนาที่เป็นโครงการ (Project-based) ไปสู่การพัฒนาในรูปแบบแพลตฟอร์ม (Platform-based) ซึ่งเป็นการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนและสามารถขยายผลได้
3. เสาหลักแห่งนวัตกรรม: โมเดลการพัฒนาแบบบูรณาการ
ความสำเร็จของบ้านดงสารไม่ได้มาจากการแก้ปัญหาเพียงด้านเดียว แต่มาจากการดำเนินงานในหลายมิติพร้อมกัน ซึ่งแต่ละมิติล้วนเป็นนวัตกรรมที่บูรณาการเข้ากับบริบทของชุมชน
3.1 โมเดล "คลังเมล็ดพันธุ์ข้าว" และเกษตรมูลค่าสูง
ผอ.อำนวยการ โรงเรียนบ้านดงสาร |
ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านดงสาร |

หัวใจหลักของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชุมชนเริ่มต้นที่การยกระดับการทำนาปรังจากผลผลิตคุณภาพต่ำไปสู่ "เกษตรมูลค่าสูง" การดำเนินงานนี้เป็นการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้านกับการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาใช้ร่วมกัน ชาวบ้านมีภูมิปัญญาในการคัดพันธุ์ข้าวที่ดีจากแปลงนาที่สมบูรณ์อยู่แล้ว แต่เพื่อลดภาระแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ทีมนักวิจัยได้นำเทคโนโลยีต้นแบบเครื่องคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวมาพัฒนาให้สามารถคัดแยกเมล็ดที่สมบูรณ์ตามขนาดที่กำหนดได้ ผลที่ได้คือการยกระดับคุณภาพผลผลิตข้าว และนำไปสู่การจัดตั้ง "วิสาหกิจชุมชนนาปรังมูลค่าสูง" พร้อมกับเงินกองทุนหมุนเวียนจำนวน 55,000 บาท
นอกจากนี้ โครงการยังได้จัดการปัญหาด้านต้นทุนการผลิตที่สำคัญด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบนี้ถูกนำมาใช้แทนที่เครื่องสูบน้ำที่ใช้น้ำมัน ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันของเกษตรกรได้อย่างมีนัยสำคัญ การติดตั้งระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา แต่ยังเป็นการแก้ไขความล้มเหลวในอดีตของโครงการประปาหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างมานาน การที่ชุมชนสามารถเป็นเจ้าของและบริหารจัดการระบบได้เองจึงเป็นตัวอย่างอันทรงพลังของการเปลี่ยนผ่านจากความพึ่งพิงไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
3.2 โมเดล "ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ" และการมีส่วนร่วมของเยาวชน
ในขณะที่โครงการด้านข้าวสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โครงการเพาะเห็ดถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่สำคัญด้านการพัฒนาคนและเยาวชน ซึ่งเป็นความฝันและข้อกังวลหลักของผู้นำชุมชนอย่าง "พ่อเด่น" ที่มองว่าแรงงานในปัจจุบันเริ่มสูงอายุและไม่แน่ใจว่าจะสามารถสานต่อสิ่งที่พัฒนาได้อีกนานแค่ไหน 4 เพื่อแก้ปัญหานี้ ทีมนักวิจัยจึงได้จัด "ค่ายห้องเรียนสัมมาชีพเพาะเห็ดแก้จน" ขึ้น โดยมีนักเรียนชั้นประถมและมัธยมต้นกว่า 30 คนเข้าร่วม
ค่ายนี้ไม่ได้เป็นเพียงการอบรมเชิงทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้แบบปฏิบัติจริงที่สนุกสนานและนอกห้องเรียน นวัตกรรมสำคัญที่เกิดขึ้นคือแนวคิด "Share Technology" โดย "โค้งคำนับฟาร์ม" ซึ่งเป็นผลผลิตจากงานวิจัยปี 2565 ได้ขนอุปกรณ์และเครื่องมือการผลิตก้อนเห็ดมายังโรงเรียนทั้งหมด ทำให้เกิด "แหล่งเรียนรู้ที่สามารถเคลื่อนที่ได้" และข้ามผ่านอุปสรรคของการเข้าถึงเทคโนโลยีราคาแพง การเรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริงทำให้ผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะเด็กๆ สามารถจดจำขั้นตอนและรู้สึก "อิน" กับกิจกรรมมากกว่าการรับก้อนเห็ดไปฟรีๆ การที่เด็กๆ ได้ฝึกทักษะการเพาะเห็ดและแปรรูปสบู่สมุนไพร ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขามีทักษะอาชีพติดตัว แต่ยังปลูกฝังความหวังและสำนึกรักบ้านเกิด ทำให้พวกเขากลายเป็น "เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต" ที่จะสานต่อปณิธานของชุมชน
4. ระบบนิเวศของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: ตัวเร่งและปัจจัยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง
ความสำเร็จของบ้านดงสารเป็นผลจากการประสานพลังความร่วมมือของหลายภาคส่วนที่ต่างก็มีบทบาทที่สำคัญและส่งเสริมกันและกัน
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร: สถาบันการศึกษาแห่งนี้เป็นมากกว่าผู้ให้ความรู้เชิงวิชาการ พวกเขาเป็น "นักวิจัยวิศวกรสังคม" ที่เข้ามาเป็นผู้ออกแบบกระบวนการ, ผู้ให้คำปรึกษา, และผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมในชุมชนผ่านยุทธศาสตร์ "สัญญาใจ" และการนำนักศึกษาเข้ามาเป็นจิตอาสา
หน่วย บพท. (บพท.): องค์กรนี้คือผู้สนับสนุนยุทธศาสตร์หลักด้วยการให้ทุนวิจัยต่อเนื่อง บทบาทของ บพท. มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนจากโครงการระยะสั้นไปสู่การสร้างแพลตฟอร์มการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับจังหวัด
ผู้นำชุมชนและชาวบ้าน: พวกเขาคือรากฐานของโครงการและเป็นผู้ที่รับการพัฒนาไปปฏิบัติจริง "พ่อเด่น" เป็นตัวอย่างของ "นวัตกรชุมชน" ผู้ที่มีวิสัยทัศน์และเข้าใจปัญหาของชุมชนอย่างลึกซึ้ง และมีส่วนสำคัญในการนำเสนอความต้องการด้านการสืบทอดสู่รุ่นเยาวชน
ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม: ภาคส่วนเหล่านี้เข้ามาเติมเต็มความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง "โค้งคำนับฟาร์ม" ซึ่งเป็นผลงานวิจัยก่อนหน้า ได้เข้ามาช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเห็ดอย่างมืออาชีพผ่านโมเดล "Co-Share Technology" ในขณะที่ "Local Alike" ธุรกิจท่องเที่ยววิถีชุมชน มีบทบาทในการให้คำปรึกษาด้านการจัดการทรัพยากรเพื่อเตรียมพัฒนาพื้นที่เป็น "พิพิธภัณฑ์เกษตรกรรมที่มีชีวิต"
ตารางที่ 1: ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักและบทบาทในโครงการ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก | บทบาทหลัก | ผลงานและความร่วมมือเฉพาะ | แหล่งข้อมูล |
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร | การวิจัยและวิศวกรสังคม | ออกแบบ "โมเดลแก้จน", วางแผนกิจกรรมตามบริบทพื้นที่, ใช้ยุทธศาสตร์ "สัญญาใจ" | |
หน่วย บพท. | แหล่งทุนสนับสนุนยุทธศาสตร์ | ให้ทุนวิจัยต่อเนื่อง, สนับสนุน "แพลตฟอร์มขจัดความยากจน" ระดับจังหวัด | |
ผู้นำชุมชนและชาวบ้าน | เจ้าของโครงการและผู้ปฏิบัติ | ให้ข้อมูลและเปิดใจกับนักวิจัย, ตั้งกลุ่มวิสาหกิจ, เป็นแกนนำ ("พ่อเด่น") ในการขับเคลื่อน | |
โค้งคำนับฟาร์ม | ภาคีผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยี | นำอุปกรณ์เพาะเห็ดมาจัด "แหล่งเรียนรู้เคลื่อนที่" (Co-Share Technology) ที่โรงเรียน | |
Local Alike | ภาคีที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว | วางแผนพัฒนา "พิพิธภัณฑ์เกษตรกรรมที่มีชีวิต" เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว |

5. จากนวัตกรสู่สังคมนวัตกรรม: กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้านดงสารสามารถวิเคราะห์ได้ผ่านกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่อง "นวัตกรชุมชน" และ "นวัตกรรมสังคม"
5.1 นวัตกรชุมชน (Community Innovator)
"นวัตกรชุมชน" คือแกนนำชาวบ้านที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จนสามารถนำไปปรับใช้และถ่ายทอดต่อให้กับผู้อื่นได้ รวมถึงมีความสามารถในการจัดการความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาในชุมชนได้อย่างยั่งยืน
5.2 นวัตกรรมสังคม (Social Innovation)
"นวัตกรรมสังคม" หมายถึง กิจกรรม ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ๆ ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของสังคมเป็นหลัก และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตหรือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม
นวัตกรรมด้านกระบวนการ: การใช้ยุทธศาสตร์ "สัญญาใจ" เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจในการทำงานร่วมกัน
7 นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์: การเพิ่มมูลค่าให้ข้าวนาปรังและการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น สบู่สมุนไพร
4 นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี: การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น เครื่องคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวและระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ มาช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
2 นวัตกรรมด้านการบริการ: การสร้าง "แหล่งเรียนรู้เคลื่อนที่" หรือ "Co-Share Technology" ที่ช่วยให้การเข้าถึงความรู้และเครื่องมือไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
4
6. ผลลัพธ์ที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้: การประเมินอย่างละเอียด
การประเมินผลโครงการบ้านดงสารต้องพิจารณาจากผลลัพธ์ทั้งเชิงกายภาพและเชิงนามธรรมที่เกิดขึ้นในชุมชน
6.1 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ในมิติเศรษฐกิจ โครงการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน การจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนาปรังมูลค่าสูงและมีเงินกองทุนหมุนเวียน 55,000 บาท เป็นการสร้างกลไกทางการเงินที่เป็นอิสระ
6.2 ผลกระทบด้านสังคมและการพัฒนาคน
ในมิติสังคม โครงการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสร้าง "ความหวังและจิตวิญญาณต่อการดำรงชีพ" ให้กับชาวบ้าน การที่ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบผ่านยุทธศาสตร์ "สัญญาใจ" ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ การที่เด็กและเยาวชนได้เข้าร่วมกิจกรรมเพาะเห็ดด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกสนุกและได้เรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ต่างจากการนั่งอบรมหรือได้รับสิ่งของบริจาค การสร้าง "เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต" ที่มีทักษะและพร้อมะสานต่อปณิธานของชุมชน ถือเป็นผลลัพธ์เชิงนามธรรมที่สำคัญที่สุดที่รับประกันความยั่งยืนในระยะยาว
6.3 ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและอนาคต
นอกจากผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว โครงการยังวางแผนพัฒนาในมิติสิ่งแวดล้อมด้วยการร่วมมือกับ Local Alike เพื่อพัฒนาพื้นที่เป็น "พิพิธภัณฑ์เกษตรกรรมที่มีชีวิต"
ตารางที่ 2: นวัตกรรมหลักและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
นวัตกรรมหลัก | ประเภทของนวัตกรรม | ผลลัพธ์สำคัญ (เศรษฐกิจ/สังคม/สิ่งแวดล้อม) | แหล่งข้อมูล |
โมเดลคลังเมล็ดพันธุ์ข้าว | กระบวนการ/เทคโนโลยี | เศรษฐกิจ: เพิ่มมูลค่าข้าว, ตั้งวิสาหกิจชุมชน; สังคม: ชาวบ้านรับและปรับใช้เทคโนโลยี; สิ่งแวดล้อม: ลดสารเคมี | |
ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ | เทคโนโลยี/สังคม | เศรษฐกิจ: ลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิง, เพิ่มผลผลิตข้าว; สังคม: แก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกทอดทิ้ง | |
ค่ายเพาะเห็ดแก้จน | การบริการ/สังคม | เศรษฐกิจ: สร้างทักษะอาชีพใหม่, แปรรูปสบู่; สังคม: เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วม, เรียนรู้แบบปฏิบัติจริง, เกิดความหวัง | |
แหล่งเรียนรู้เคลื่อนที่ | เทคโนโลยีร่วม/สังคม | สังคม: ทำให้การเข้าถึงความรู้และเครื่องมือไม่จำกัดอยู่แค่ในฟาร์ม, ประชาธิปไตยทางการศึกษา |
7. ความยั่งยืนและทิศทางในอนาคต
ความยั่งยืนของโครงการบ้านดงสารมาจากรากฐานที่แข็งแกร่งและกลไกที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ความสำเร็จแบบชั่วคราว การที่โครงการได้รับทุนสนับสนุนจาก บพท. อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 และมีแผนขยายผลการดำเนินงานในปี 2568 ทำให้มั่นใจได้ว่าความพยายามที่ผ่านมาจะไม่หยุดลง ยิ่งไปกว่านั้น โครงการยังได้รับการผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ "แพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ" ระดับจังหวัด ซึ่งมีเป้าหมายในการแก้ปัญหาเชิงระบบในวงกว้าง ทำให้โครงการในบ้านดงสารสามารถเชื่อมโยงและเติบโตไปพร้อมกับเครือข่ายความร่วมมืออื่นๆ ในจังหวัด
โครงการนี้ได้สร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการพัฒนาชุมชนที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการบูรณาการและการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง การเริ่มต้นจากการสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นจากชุมชน, การนำเสนอองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบท, การส่งเสริมให้คนในชุมชนกลายเป็น "นวัตกร" และที่สำคัญคือการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนรุ่นใหม่ คือปัจจัยที่ทำให้นบ้านดงสารเปลี่ยนจากชุมชนที่ถูกมองข้ามไปสู่ "เพชรน้ำเอก" ที่ควรค่าแก่การสืบสานและขยายผลต่อไป การที่คณะนักวิจัยยืนยันว่าจะไม่ปล่อยเพชรเม็ดนี้ให้หลุดมือไป ถือเป็นสัญญาณที่สำคัญว่าความหวังและแสงสว่างที่จุดประกายขึ้นในบ้านดงสารจะส่องแสงต่อไปอย่างไม่รู้จบ.
ปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนหลายคนเข้าบวชสามเณรภาคฤดูร้อน บางคนเดินทางไปหา พ่อ-แม่ ที่ต่างจังหวัด แต่น้องนักเรียนชั้นประถมและมัธยมตอนต้น 30 คน ผู้อำนวยการและคณะคุณครูโรงเรียนบ้านดงสาร พร้อมด้วยผู้ปกครอง เข้าค่ายห้องเรียนสัมมาชีพเพาะเห็ดแก้จน 3 วัน 2 คืน ตามสัญญาใจ
แหล่งทุนวิจัย: หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) งานยุทธศาสตร์ขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ





เป็นโมเดลที่สามารถนำไปขยายผลที่อื่นได้ เป็นกำลังให้ทีมงานทุนคน
ตอบลบ