รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567
สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567

สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ

ประเทศไทย ปี 2567

ภาพรวมข้อมูลจากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายด้านความยากจนที่เพิ่มขึ้น และความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ยังคงฝังรากลึกในสังคมไทย

ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนปี 2567

จำนวนคนจน

3.43

ล้านคน

สัดส่วนคนจน

4.89%

ของประชากร

เส้นความยากจน

3,078

บาท/คน/เดือน

แนวโน้มความยากจน

แม้ในภาพรวมระยะยาวสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ปี 2567 กลับมีจำนวนและสัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจ

เจาะลึกสถานการณ์ความยากจน

คนจนส่วนใหญ่อยู่ในภาคส่วนใด?

คนจนที่เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งมาจากภาคเกษตรกรรม สะท้อนถึงความเปราะบางของรายได้ในภาคส่วนนี้ที่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศและราคาผลผลิต

ความยากจนในเชิงพื้นที่

ภาคใต้ยังคงมีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดในประเทศ ตามมาด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พึ่งพาภาคเกษตรเป็นหลัก

การศึกษา: ปัจจัยสำคัญในการออกจากความยากจน

ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์โดยตรงกับสถานะความยากจน กลุ่มประชากรที่ไม่เคยเรียนหนังสือมีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดถึง 14.21% และสัดส่วนจะลดลงอย่างชัดเจนเมื่อระดับการศึกษาสูงขึ้น

มิติของความเหลื่อมล้ำ

ช่องว่างรายจ่าย

กลุ่มประชากรที่ร่ำรวยที่สุด 10% มีรายจ่ายสูงกว่ากลุ่มที่จนที่สุด 10%

7.83 เท่า

ช่องว่างโอกาสทางการศึกษา

ครัวเรือนที่ร่ำรวยที่สุดมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงกว่าครัวเรือนที่จนที่สุด

8.16 เท่า

รูปแบบการใช้จ่ายที่แตกต่าง

กลุ่มคนจนต้องใช้จ่ายเกือบครึ่งหนึ่งไปกับอาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่กลุ่มคนรวยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านนี้ต่ำกว่ามาก และสามารถใช้จ่ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านอื่นได้มากกว่า

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ

แม้ประเทศไทยจะมีความครอบคลุมด้านสิทธิหลักประกันสุขภาพสูง แต่การกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์ยังคงกระจุกตัวในเมืองใหญ่ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพบริการ

🏙️

กรุงเทพมหานคร

1 : 428

(อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากร)

🌾

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

1 : 2,497

(อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากร)

ช่องว่างการเข้าถึงบริการพื้นฐานของครัวเรือนยากจน

แม้ภาพรวมจะดีขึ้น แต่ครัวเรือนยากจนจำนวนมากยังคงไม่สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตในยุคดิจิทัล

น้ำประปา

18.98%
ยังไม่สามารถเข้าถึง

สมาร์ตโฟน

20.46%
ยังไม่สามารถเข้าถึง

อินเทอร์เน็ต

25.18%
ยังไม่สามารถเข้าถึง

สร้างสรรค์ข้อมูลโดยอ้างอิงจาก "รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567" โดย สศช.

สัดส่วนคนจน 3.43 ล้านคน

สัดส่วนครัวเรือนยากจน 1.03 ล้านครัวเรือน

เส้นความยากจน 20% ล่าน 3,078 บาท/คน/เดือน

รายได้เฉลี่ย 11,321 บาท/คน/เดือน

รายจ่ายเฉลี่ย 7,938 บาท/คน/เดือน


รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยในปี 2567 แสดงให้เห็นถึงการพลิกกลับของแนวโน้มการลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งสูงขึ้นจากร้อยละ 3.41 ในปี 2566 และเส้นความยากจนได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นที่มาของคนจนที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงร้อยละ 45.49 ของคนจนทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบว่าระดับความรุนแรงของความยากจนเพิ่มสูงขึ้นในทุกมิติ โดยจำนวนคนจนมากเพิ่มขึ้นเป็น 8.79 แสนคน และคนจนน้อยเพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน

ในขณะที่ปัญหาความยากจนกลับมาเป็นประเด็นที่น่ากังวล ความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆ ยังคงมีอยู่และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว แม้ว่าค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคด้านรายจ่าย (Expenditure Gini Coefficient) จะลดลงเล็กน้อยจาก 0.335 ในปี 2566 เหลือ 0.333 ในปี 2567 แต่ความแตกต่างของรูปแบบการใช้จ่ายระหว่างกลุ่มคนรวยและคนจนยังคงสะท้อนถึงช่องว่างในการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษายังคงเป็นอุปสรรคต่อการยกระดับทางสังคม โดยเด็กจากครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุดมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มเศรษฐฐานะสูงสุดถึง 8.16 เท่า และยังคงมีอัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับด้านสาธารณสุข แม้ประชากรส่วนใหญ่จะเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลได้ในอัตราที่สูง แต่การกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัยยังคงกระจุกตัวในเมืองใหญ่ ส่วนการเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐและกระบวนการยุติธรรมก็ยังพบช่องว่างในการเข้าถึงและข้อจำกัดของกระบวนการพิจารณา ซึ่งทำให้ประชาชนบางกลุ่มไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

รายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างเชิงนโยบายที่สำคัญ เช่น การขาดการประเมินผลกระทบของโครงการอย่างเป็นระบบ การใช้แนวทางที่เหมือนกันสำหรับทุกพื้นที่ (one-size-fits-all) และการขาดระบบฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างยั่งยืน จึงมีการนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ครอบคลุม ทั้งการปรับปรุงระบบสวัสดิการให้มีความยืดหยุ่น การลงทุนในทุนมนุษย์ที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรม การกระจายบริการสาธารณะอย่างเป็นธรรม และการลดต้นทุนแฝงในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

บทที่ 1: สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย ปี 2567

1.1 แนวโน้มและตัวชี้วัดหลัก: การพลิกผันของทิศทาง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 พบว่าจำนวนคนจนได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 3.43 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนร้อยละ 3.41 ในปี 2566 ในขณะเดียวกัน เส้นความยากจนซึ่งใช้เป็นเกณฑ์วัดมาตรฐานการครองชีพขั้นต่ำได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน 

การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนจนนี้ไม่ได้เป็นเพียงความถดถอยทางสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนที่สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเชิงพลวัตของความยากจนที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง "จน" และ "ไม่จน" ได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ผลกระทบจากภัยธรรมชาติ หรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร การที่ประชาชนจำนวนมากสามารถกลับสู่ภาวะความยากจนได้ง่ายนี้ ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนและประสิทธิภาพของตาข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่มีอยู่ ซึ่งอาจยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้คนกลุ่มนี้กลับมาตกอยู่ในภาวะยากจนอีกครั้ง

1.2 มิติและความรุนแรงของความยากจน: การวิเคราะห์เชิงลึกของกลุ่มเปราะบาง

การเพิ่มขึ้นของคนจนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรุนแรงของปัญหาที่เพิ่มขึ้นในทุกระดับ ข้อมูลในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าจำนวนคนเปราะบางต่อความยากจนเพิ่มสูงขึ้นในทุกระดับความรุนแรง โดยกลุ่ม "คนจนมาก" ซึ่งเป็นกลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 8.79 แสนคน และกลุ่ม "คนจนน้อย" เพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน นอกจากนี้ ตัวชี้วัดช่องว่างความยากจน (Poverty Gap Ratio) ก็เพิ่มขึ้นจาก 0.39 ในปี 2566 เป็น 0.68 ในปี 2567 และความรุนแรงของปัญหาความยากจน (Poverty Severity Ratio) ก็เพิ่มขึ้นจาก 0.08 เป็น 0.15 ในช่วงเวลาเดียวกัน

การเพิ่มขึ้นพร้อมกันของตัวชี้วัดเหล่านี้บ่งชี้ว่าปัญหาความยากจนในปีนี้ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะจุด แต่เป็นผลมาจากการหดตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้างที่ส่งผลกระทบต่อประชากรในวงกว้างขึ้นอย่างทั่วถึง 1 การที่ช่องว่างความยากจนและความรุนแรงของปัญหาเพิ่มขึ้น หมายความว่าคนจนในปีนี้มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคที่ต่ำกว่าเส้นความยากจนมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบากในการดำรงชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

1.3 การวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์: ภาพลักษณ์ของความยากจน

1.3.1 ความเปราะบางของภาคเกษตรกรรม

การวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นว่าแรงงานในภาคเกษตรกรรมเป็นกลุ่มที่มีจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปี 2567 โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 45.49 ของคนจนทั้งหมด ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของภาคส่วนนี้ที่ต้องพึ่งพารายได้จากการผลิตซึ่งมีความผันผวนสูงตามสภาพอากาศและราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน เศรษฐกิจภาคเกษตรที่เผชิญกับภาวะชะลอตัวในปีนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของครัวเรือนเกษตรจำนวนมาก ทำให้ต้องตกอยู่ในภาวะยากจน

1.3.2 ความยากจนเชิงพื้นที่

ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์ยังคงเป็นปัญหาที่โดดเด่น ประชากรที่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาลมีสัดส่วนความยากจนสูงกว่าประชากรในเขตเทศบาลอย่างชัดเจน ในระดับภูมิภาค ภาคใต้ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดของประเทศที่ร้อยละ 9.43 ตามมาด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 6.56 และภาคเหนือร้อยละ 5.75 การกระจุกตัวของความยากจนในบางพื้นที่เป็นผลมาจากนโยบายการพัฒนาที่ขาดความสมดุล โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ศูนย์กลางอย่างกรุงเทพมหานครและภาคกลาง ขณะที่พื้นที่ชายขอบซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ ยังมีบางจังหวัดที่เผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรังมาอย่างยาวนาน เช่น แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก ซึ่งมักติดอันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดอย่างต่อเนื่อง 

1.3.3 ลักษณะทางประชากรของครัวเรือนยากจน

ข้อมูลในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าครัวเรือนยากจนมีภาระในการดูแลสมาชิกในครัวเรือนสูงกว่าครัวเรือนที่ไม่ยากจนอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราการพึ่งพิงอยู่ที่ร้อยละ 103.69 ในขณะที่ครัวเรือนไม่ยากจนมีอัตราพึ่งพิงเพียงร้อยละ 60.06 ภาระนี้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของกำลังแรงงานในครัวเรือนยากจน เนื่องจากสมาชิกในวัยแรงงานต้องแบ่งเวลาจากการทำงานเพื่อดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ทำให้โอกาสในการสร้างรายได้ลดลงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม

นอกจากนี้ การศึกษายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดสถานะความยากจนของประชากร โดยประชากรที่มีระดับการศึกษาต่ำมีปัญหาความยากจนมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือมีสัดส่วนคนจนสูงถึงร้อยละ 14.21 แต่เมื่อระดับการศึกษาสูงขึ้น สัดส่วนคนจนมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่มีระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไปมีสัดส่วนคนจนต่ำกว่าร้อยละ 3.00  ข้อมูลนี้เน้นย้ำถึงบทบาทของการศึกษาในฐานะเส้นทางสำคัญสู่การหลุดพ้นจากความยากจน นอกจากนี้ ยังพบว่าสัดส่วนคนจนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามขนาดของครัวเรือน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มิได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อคนลดลง

บทที่ 2: สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำเชิงมิติของประเทศไทย ปี 2567

2.1 ความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่าย: การดำรงอยู่ของช่องว่างทางเศรษฐกิจ

สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายของไทยยังคงอยู่ในระดับทรงตัว โดยค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคด้านรายจ่ายลดลงเล็กน้อยจาก 0.335 ในปี 2566 มาอยู่ที่ 0.333 ในปี 2567 แม้ว่าส่วนแบ่งรายจ่ายของกลุ่มประชากรที่มีรายจ่ายต่ำจะเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายของกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังคงเน้นไปที่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเป็นหลัก โดยกลุ่มที่มีรายจ่ายต่ำสุดร้อยละ 20 (Decile10และ1 ) ใช้จ่ายเงินประมาณครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดไปกับอาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่กลุ่มที่มีรายจ่ายสูงสุดร้อยละ 10 (Decile 10) มีแนวโน้มใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าและบริการที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การครอบครองยานพาหนะ การท่องเที่ยว และการศึกษาขั้นสูง ความแตกต่างของรูปแบบการใช้จ่ายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างชัดเจน โดยกลุ่มคนจนอยู่ในสภาพของการยังชีพเพื่อความอยู่รอดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีเงินเหลือน้อยมากสำหรับการลงทุนในระยะยาวเพื่อพัฒนาตนเอง ในขณะที่กลุ่มคนรวยมีความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบของตนเองผ่านการเข้าถึงการศึกษาและบริการสุขภาพที่มีคุณภาพสูง

2.2 ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา: อุปสรรคต่อการยกระดับทางสังคม

แม้ว่าอัตราการเข้าเรียนสุทธิในภาพรวมจะมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย แต่ช่องว่างด้านโอกาสทางการศึกษายังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอุดมศึกษา แม้ช่องว่างอัตราการเข้าเรียนสุทธิระหว่างกลุ่มที่มีเศรษฐฐานะสูงสุดกับกลุ่มที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุดจะลดลง แต่เด็กจากครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุดยังมีอัตราการเข้าเรียนที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ โดยครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะสูงสุดมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุดถึง 8.16 เท่า และเด็กจากครัวเรือนที่มีฐานะต่ำยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางในสัดส่วนที่สูงกว่าครัวเรือนที่มีฐานะดีกว่า

คุณภาพการศึกษาเองก็มีความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนได้จากผลการทดสอบ O-NET ที่แม้จะเปลี่ยนจากภาคบังคับเป็นภาคสมัครใจ แต่ยังคงแสดงให้เห็นว่านักเรียนจากโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ หรือโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่และขนาดใหญ่พิเศษ รวมถึงนักเรียนจากครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะดีกว่ามีคะแนนการทดสอบที่ดีกว่านักเรียนจากครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ำกว่าอย่างชัดเจน

2.3 ความเหลื่อมล้ำด้านบริการสาธารณสุข: การกระจายคุณภาพที่ไม่เท่าเทียม

ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพ โดยประชากรไทยกว่าร้อยละ 99.73 สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานได้ อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำยังคงปรากฏในการกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัย โดยกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่มีสัดส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานครมีสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรอยู่ที่ 1:428 ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ 1:2,497 การกระจุกตัวของทรัพยากรทางการแพทย์ในเมืองใหญ่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางเพื่อเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพและสถานะทางการเงินของครัวเรือน

2.4 ความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงสวัสดิการ: ช่องโหว่ของตาข่ายความปลอดภัย

ในด้านการเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐ พบว่าสัดส่วนเด็กแรกเกิดในครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะต่ำสุดร้อยละ 40 (Bottom 40) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 65.65 ซึ่งสูงกว่ากลุ่มเศรษฐฐานะปานกลางและกลุ่มเศรษฐฐานะสูงสุด นอกจากนี้ สัดส่วนผู้สูงอายุยากจนที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 97.01 และสัดส่วนคนพิการยากจนที่ได้รับเบี้ยความพิการก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นร้อยละ 87.45 อย่างไรก็ตาม ยังคงปรากฏความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มรายจ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีเศรษฐฐานะสูงสุด (Decile 10) ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนผู้ได้รับสิทธิเพิ่มขึ้น แต่ยังคงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มรายจ่ายอื่น

2.5 ความเหลื่อมล้ำด้านโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัล: ช่องว่างใหม่

ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการไฟฟ้า ซึ่งประชากรในกลุ่มเศรษฐฐานะต่ำสุด (Decile 1) สามารถเข้าถึงได้ถึงร้อยละ 99.57 ซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่มเศรษฐฐานะสูงสุด (Decile 10) อย่างไรก็ดี ความเหลื่อมล้ำยังคงปรากฏในการเข้าถึงบริการน้ำประปาภายในบ้าน และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีช่องว่างระหว่างกลุ่มที่มีเศรษฐฐานะแตกต่างกันอย่างชัดเจน การขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดกันประชาชนออกจากโอกาสในการพัฒนาตนเอง การเข้าถึงข้อมูล และการมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในยุคปัจจุบัน

2.6 ความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม: ต้นทุนแห่งความยุติธรรม

การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมถือเป็นภารกิจสำคัญของภาครัฐ แต่ถึงแม้ว่ากองทุนยุติธรรมจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย แต่สัดส่วนการอนุมัติให้ความช่วยเหลือในปีงบประมาณ 2567 กลับลดลงเหลือร้อยละ 54.21 จากร้อยละ 60.73 ในปีก่อนหน้าการลดลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดในกระบวนการพิจารณาคำขอ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายได้ นอกจากนี้ ในยุคดิจิทัลที่อาชญากรรมออนไลน์เพิ่มขึ้น แม้ภาครัฐจะมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) เพื่อยับยั้งความเสียหายในเบื้องต้น แต่ประชาชนยังคงต้องเผชิญกับต้นทุนแฝงในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เช่น ค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในการดำเนินการ และความซับซ้อนของขั้นตอนต่างๆ ซึ่งทำให้ความยุติธรรมกลายเป็นสิทธิพิเศษสำหรับคนบางกลุ่ม ไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน

บทที่ 3: นโยบายและช่องว่างการดำเนินนโยบาย การแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ

3.1 การจัดสรรงบประมาณและทิศทางนโยบาย: การมุ่งเน้นระยะสั้น

ในปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3.60 ล้านล้านบาท โดยยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด คิดเป็นมูลค่า 827,041 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.35 ของงบประมาณทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์รายละเอียดพบว่า งบประมาณส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ถูกใช้ไปกับรายจ่ายประจำและโครงการต่อเนื่อง เช่น การจัดสรรเงินอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินอุดหนุนกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ

แนวทางการจัดสรรงบประมาณนี้สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือเฉพาะหน้า ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น แต่กลับมีข้อจำกัดในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน การใช้จ่ายงบประมาณส่วนใหญ่ที่มุ่งเน้นไปที่การสงเคราะห์แทนที่จะเป็นการลงทุนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจในระยะยาว อาจนำไปสู่ภาระทางการคลังที่หนักอึ้งในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด

3.2 ช่องว่างการดำเนินนโยบายเชิงโครงสร้าง

แม้จะมีการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีช่องว่างเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่:

การขาดระบบฐานข้อมูลกลางประชาชนที่เชื่อมโยงกันอย่างมีเอกภาพ: การจัดเก็บข้อมูลประชาชนที่แยกส่วนตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานทำให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อน ประชาชนต้องลงทะเบียนหลายครั้งเพื่อเข้าถึงสิทธิจากหลายโครงการ และทำให้ภาครัฐไม่สามารถประเมินความต้องการที่แท้จริงของประชาชนเพื่อจัดสวัสดิการแบบมุ่งเป้าได้อย่างแม่นยำ

การขาดกรอบการประเมินผลที่มุ่งเน้นผลกระทบระยะยาว: การประเมินผลโครงการของภาครัฐส่วนใหญ่มักจำกัดอยู่เพียงการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณและจำนวนผู้รับบริการ มากกว่าการวัดผลลัพธ์และผลกระทบที่แท้จริงว่ามาตรการเหล่านั้นสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความยากจนได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ การขาดข้อมูลเชิงประจักษ์ทำให้การปรับปรุงนโยบายเป็นไปได้ยากและอาจส่งผลให้การใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า

นโยบายแบบเหมารวม (one-size-fits-all) ที่ไม่สอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่: การกำหนดนโยบายในระดับชาติโดยไม่คำนึงถึงบริบทเฉพาะทางเศรษฐกิจ สังคม และภูมิศาสตร์ของแต่ละพื้นที่ ทำให้นโยบายไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างยั่งยืน ตัวอย่างเช่น นโยบายสำหรับภาคเกษตรกรรมที่เผชิญกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและความผันผวนของราคา แต่กลับได้รับมาตรการช่วยเหลือเพียงการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้น

บทที่ 4: บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

4.1 บทสรุป

สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยในปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างในหลายมิติ การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนจน การกระจุกตัวของความยากจนในภาคเกษตรและพื้นที่ชนบท และความเหลื่อมล้ำที่ยังคงมีอยู่ในมิติต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แม้ภาครัฐจะจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่การมุ่งเน้นไปที่มาตรการเชิงสงเคราะห์ระยะสั้นเป็นหลัก โดยขาดการลงทุนในกลไกเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ทำให้การแก้ปัญหายังคงไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน ภาครัฐควรปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายจากมาตรการเชิงสงเคราะห์ระยะสั้นไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันและความยืดหยุ่นในระยะยาว โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ ดังนี้

1. เสริมสร้างและพัฒนาระบบตาข่ายความคุ้มครองทางสังคมให้ทันสมัย

ภาครัฐควรเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางประชาชนที่มีเอกภาพและครบวงจร เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดเก็บข้อมูลที่แยกส่วนกันของแต่ละหน่วยงาน การมีฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ภาครัฐสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ ลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณ และสามารถจัดสวัสดิการที่สอดคล้องกับความจำเป็นของแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ลงทุนในทุนมนุษย์ที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม

ควรมีการพัฒนาเครื่องมือประเมินผลทางการศึกษาในระดับชาติรูปแบบใหม่ที่สะท้อนศักยภาพของผู้เรียนอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำ นอกจากนี้ ควรพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงผลการประเมินกับข้อมูลนักเรียนและสถานศึกษาเพื่อติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ควรขยายผลการจัดการศึกษาในรูปแบบเรียนรู้ควบคู่สร้างรายได้ (Learn to Earn) และพัฒนาให้กลไกธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เป็นระบบเดียวกันทั่วประเทศเพื่อรองรับการเทียบโอนผลการเรียนรู้จากหลายแหล่ง

3. สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจสำหรับภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน

มาตรการช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรกรควรเปลี่ยนจากการให้เงินช่วยเหลือแบบไม่มีเงื่อนไขไปสู่การให้ความช่วยเหลือที่ควบคู่กับการเสริมสร้างทักษะหรือการปรับโครงสร้างการผลิต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมช่องทางการตลาดที่เหมาะสมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ ควรมีการปฏิรูปที่ดินและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นคงในการผลิตและลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ

4. กระจายบริการสาธารณะอย่างเป็นธรรมและเป็นระบบ

การจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขควรดำเนินการตามแนวทางการจัดระบบบริการสุขภาพแบบ S-A-P (Standard, Academy, Premium) เพื่อกระจายทรัพยากรให้สอดคล้องกับศักยภาพของหน่วยบริการแต่ละประเภทและครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบรัฐร่วมเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) ในโครงการพัฒนายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดบริการสุขภาพมากขึ้น

5. ลดต้นทุนแฝงในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

ภาครัฐควรพัฒนากลไกเชิงระบบที่ช่วยลดต้นทุนแฝงหรืออุปสรรคที่ประชาชนต้องเผชิญในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยสามารถทำได้หลายด้าน อาทิ การพัฒนาช่องทางการสื่อสารและการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิและกระบวนการยุติธรรมขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง และการยกระดับระบบการช่วยเหลือทางกฎหมายให้มีมาตรฐานที่ชัดเจนทั่วประเทศ และลดการใช้ดุลยพินิจที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างแท้จริงและเท่าเทียม

{fullWidth}

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า