ดาบสองคมแห่งความก้าวหน้า
วิเคราะห์สมดุลระหว่าง "การสร้างสรรค์จากความเสี่ยง" และ "กับดักของตลาดนำการผลิต"
จุดกำเนิดนวัตกรรม
ความรู้ เทคโนโลยี และภาคีความร่วมมือ ไม่ได้เกิดในสภาวะที่ปลอดภัย แต่ถือกำเนิดจากการที่มนุษย์กล้าที่จะ "ทำตามใจ" และเผชิญหน้ากับความเสี่ยง นี่คือเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าอย่างแท้จริง
คืออัตราความล้มเหลวโดยประมาณ
ของธุรกิจนวัตกรรมเชิงปฏิวัติ
ตลาดจัดสรรงบประมาณ R&D อย่างไร?
กลไกตลาดมักจะให้น้ำหนักกับการลงทุนที่เห็นผลเร็วและมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้งบประมาณส่วนใหญ่ถูกจัดสรรให้กับการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ แทนที่จะเป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่พลิกโฉมวงการ
ระยะเวลาคืนทุนของนวัตกรรม
นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกต้องใช้เวลาในการพัฒนาและพิสูจน์ตัวเองนานกว่า ซึ่งขัดกับธรรมชาติของตลาดที่ต้องการผลกำไรในระยะสั้น
กับดักการผลัดวันประกันพรุ่ง
การมุ่งตอบสนองความต้องการของตลาดในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว เปรียบเสมือน "กับดักการผลัดวันประกันพรุ่ง" ที่ให้ผลตอบแทนดีในระยะสั้น แต่ทำให้องค์กรหรือสังคมสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว เส้นกราฟด้านล่างแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่อาจสูญเสียไป
การสร้างสมดุลเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
ทางออกไม่ใช่การปฏิเสธกลไกตลาด แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่สมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน และการลงทุนในนวัตกรรมความเสี่ยงสูงเพื่ออนาคต จุดร่วมที่ทับซ้อนกันคือกุญแจสู่การเติบโตที่แท้จริงและยั่งยืน
(ความเสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนเร็ว)
(ความเสี่ยงสูง, ผลตอบแทนสูง)
ที่ยั่งยืน
(Sustainable Growth)
I. กลไกขับเคลื่อนนวัตกรรมจากมนุษย์: จากวิสัยทัศน์สู่ความกล้าเสี่ยง
การกำเนิดของนวัตกรรมที่ก้าวล้ำไม่ได้เริ่มต้นจากแผนธุรกิจหรือการวิจัยตลาด แต่มาจากแรงผลักดันที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจของมนุษย์ที่กล้าจะทำในสิ่งที่แตกต่างและเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน
แรงปรารถนาที่ไม่สามารถวัดค่าได้
นวัตกรรมเริ่มต้นจากแรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) ซึ่งเป็นความปรารถนาส่วนบุคคลที่มุ่งจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนทางการเงินในทันที รากฐานของแรงขับเคลื่อนนี้คือความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) และการตั้งคำถามต่อสิ่งรอบตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์มักจะตั้งคำถามในมุมมองที่แตกต่างออกไป เช่น "ทำไมสิ่งนี้ถึงเป็นเช่นนี้" หรือ "จะเป็นอย่างไรถ้าเราทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม" การตั้งคำถามเหล่านี้จะนำไปสู่การสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ และการหลุดออกจากกรอบความคิดแบบเดิมๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรม
การเดินทางของนวัตกรรมมักไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ผู้ที่ริเริ่มจึงต้องมีความสามารถในการอยู่ภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนและข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่ "พร้อม 100%" แต่เกิดขึ้นในขณะที่ยังมีความกลัวและต้องลองผิดลองถูก ความกล้าเสี่ยง (Risk Engagement) จึงเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ช่วยสนับสนุนพฤติกรรมสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้จริง การส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและสนับสนุนการทดลอง รวมถึงการเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการปลดปล่อยศักยภาพของนวัตกรรมที่มาจากมนุษย์ ผู้ประกอบการที่สามารถใช้เรื่องของการเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างทางธุรกิจได้มักจะเป็นผู้ที่สามารถสร้างความสำเร็จให้ธุรกิจและก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาด แม้ว่าการเป็นผู้บุกเบิกตลาดรายแรก (Market Pioneer) จะมาพร้อมกับความไม่แน่นอนและต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง แต่ผลตอบแทนที่ได้คือการควบคุมเทคโนโลยี ช่องทางการจัดจำหน่าย และการสร้างฐานลูกค้าที่ภักดี
บทบาทของ "ภาคี" (พันธมิตร): การเปลี่ยนความคิดส่วนตัวให้เป็นระบบนิเวศ
แม้ว่านวัตกรรมจะเริ่มต้นจากความคิดของปัจเจกบุคคล แต่การจะเติบโตและสร้างผลกระทบในวงกว้างได้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นระบบนิเวศ แนวคิด "นวัตกรรมเปิด" (Open Innovation) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเป็นกระบวนการที่องค์กรต่างๆ เปิดรับนวัตกรรมและแนวคิดจากภายนอก ทั้งจากสตาร์ทอัพ นักวิจัย หรือแม้แต่ชุมชนผู้ใช้งาน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แนวทางนี้ช่วยให้บริษัทขนาดใหญ่สามารถเข้าถึงแหล่งความคิดและองค์ความรู้ที่หลากหลาย ลดต้นทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) และลดความเสี่ยงด้านนวัตกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนวัตกรรมเปิดได้นำไปสู่ความย้อนแย้งที่น่าสนใจ นั่นคือ "ปัญหาผู้เกาะกระแส" (Free-Rider Problem) เนื่องจากนวัตกรรมที่ถูกเผยแพร่ในวงกว้างมีลักษณะคล้าย "สินค้าสาธารณะ" (Public Goods) ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ลงทุนลงแรงไปกับการวิจัยและพัฒนาสามารถนำเอาความรู้เหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่าย ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้บุกเบิกตลาด (Pioneer) อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่คู่แข่งจะสามารถเลียนแบบนวัตกรรมของตนได้อย่างง่ายดาย และอาจสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าหรือมีราคาถูกกว่า ทำให้ผู้ริเริ่มถูกเขี่ยออกจากตลาดได้
กรณีศึกษาที่น่าสนใจของพลวัตนี้คือการพัฒนา Linux Kernel 16 ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นโปรเจ็กต์ส่วนตัวของนักศึกษาชาวฟินแลนด์ Linus Torvalds ในปี 1991 การพัฒนาไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจทางการค้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจากชุมชนนักพัฒนาจำนวนมากที่ทำงานร่วมกันผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งแตกต่างจากโมเดลการพัฒนาระบบปิดในห้องปฏิบัติการวิจัยแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง ความสำเร็จของ Linux Kernel ที่เป็นระบบปฏิบัติการหลักสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่ก้าวกระโดดสามารถเกิดขึ้นได้จากแรงขับเคลื่อนภายในของมนุษย์ และเป็นตัวอย่างที่ท้าทายกรอบคิดเดิมๆ ที่ว่านวัตกรรมต้องเป็นผลผลิตของการลงทุนจากบริษัทเอกชนขนาดใหญ่เท่านั้น
II. การผลิตที่ขับเคลื่อนโดยตลาด: กับดักที่มองไม่เห็น?
ในทางตรงกันข้ามกับนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์ แนวคิดการผลิตที่ขับเคลื่อนโดยตลาด (Market-led Production) ให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการที่มีอยู่ของลูกค้าเป็นหลัก 15 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความสำเร็จทางธุรกิจในระยะสั้น
หลักการของตลาดนำการผลิต: ประสิทธิภาพที่สร้างความปลอดภัย
การผลิตที่ขับเคลื่อนโดยตลาดใช้การวิจัยตลาด (Market Research) เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทาง การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค ความชอบ และแนวโน้มของตลาด ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบรู้มากขึ้น และกำหนดกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาดได้อย่างเหมาะสม แนวทางนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และเพิ่มโอกาสในการเอาชนะคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัดที่นำไปสู่ "กับดัก"
แม้ว่าการมุ่งเน้นตลาดจะดูสมเหตุสมผลและปลอดภัย แต่จุดแข็งนี้ก็สามารถกลายเป็นจุดอ่อนที่นำไปสู่ "กับดัก" ได้ การพึ่งพาข้อมูลตลาดในปัจจุบันมากเกินไปจะทำให้องค์กรขาดวิสัยทัศน์ที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ตลาดไม่เคยเห็นมาก่อน และอาจหลีกเลี่ยงการลงทุนในโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่มีความเสี่ยงสูงหรือไม่สามารถทำนายผลลัพธ์ได้ในทันที ซึ่งสวนทางกับหลักการของนวัตกรรมที่แท้จริง
นอกจากนี้ ตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ความสำเร็จที่ต่อเนื่องในภาคส่วนนวัตกรรมอาจทำให้เกิด "ความมั่นใจที่เกินจริง" (excessive confidence) ส่งผลให้ผู้จัดการที่มีความสามารถในการจัดการความเสี่ยงต่ำเริ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยลดความพยายามในการป้องกันความเสี่ยง เมื่อเวลาผ่านไป ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) จะสะสมเพิ่มขึ้น และเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ (shock) ขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่าปกติมาก ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จที่ขับเคลื่อนโดยตลาดในระยะสั้นอาจนำไปสู่การมองข้ามการจัดการความเสี่ยงในระยะยาวอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของพฤติกรรม "ผลัดวันประกันพรุ่ง" ในระดับองค์กรและอุตสาหกรรม
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบระหว่างโมเดลนวัตกรรมคุณลักษณะ
แรงขับเคลื่อนหลัก
ลักษณะสำคัญ
ข้อดี
ข้อเสีย
ตัวอย่าง
III. "กับดักผลัดวันประกันพรุ่ง": การวิเคราะห์ภาวะติดกับดักเชิงระบบ
การวิเคราะห์ขั้นต่อไปจะเชื่อมโยงแนวคิดทางจิตวิทยาของการผลัดวันประกันพรุ่ง (Procrastination) เข้ากับภาวะทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า "การมุ่งเน้นระยะสั้น" (Short-termism)
การวินิจฉัย "กับดัก"
การผลัดวันประกันพรุ่งในระดับบุคคลมักเกิดจากความรู้สึกว่า "ยังอีกนาน" หรือ "ยังมีเวลาเพียบ" 6 ทำให้หลงไปกับความรู้สึกไม่เร่งรีบและเลื่อนการลงมือทำออกไป 6 ในมิติเชิงเศรษฐศาสตร์ พฤติกรรมนี้สะท้อนออกมาในรูปของการมุ่งเน้นผลตอบแทนในระยะสั้น ซึ่งเป็นแก่นของแนวคิด "การมุ่งเน้นระยะสั้น" 26
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 26 ซึ่งอุตสาหกรรมการเงินได้สร้างนวัตกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนแต่มีแรงจูงใจที่ผิดปกติ (Misaligned economic incentives) 26 เช่น การให้ค่าตอบแทนแก่ผู้บริหารโดยอิงจากปริมาณสินเชื่อหรือราคาหุ้นในปัจจุบัน โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงระยะยาวที่สะสมอยู่ในระบบ 26 ภายใต้ความคิดที่ว่า "ฉันจะไปแล้ว เธอจะไปแล้ว" (I-B-G-Y-B-G) 26 ผู้สร้างนวัตกรรมจะได้รับผลตอบแทนในทันที ในขณะที่ความรับผิดชอบระยะยาวตกอยู่กับนักลงทุนหรือผู้บริโภค 26 นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของการ "ผลัดวันประกันพรุ่ง" ในมิติเชิงระบบ ซึ่งองค์กรละเลยความเสี่ยงในอนาคตเพื่อแลกกับกำไรที่รวดเร็วในปัจจุบัน
ความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) ในฐานะกับดัก
"กับดักผลัดวันประกันพรุ่ง" ไม่ใช่แค่ปัญหาส่วนบุคคล แต่เป็นผลผลิตของความล้มเหลวของตลาดบางประเภท 14 ซึ่งทำให้กลไกราคาไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 28
ปัญหาผู้เกาะกระแส (Free-Rider Problem): ความรู้พื้นฐานและการวิจัยและพัฒนา (R&D) มีลักษณะเป็น "สินค้าสาธารณะ" 12 ซึ่งหมายความว่าเมื่อบริษัทหนึ่งลงทุนสร้างนวัตกรรมขึ้นมา คู่แข่งรายอื่นสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 12 ปัญหานี้ทำให้บริษัทเอกชนขาดแรงจูงใจที่จะลงทุนใน R&D เชิงลึกในระยะยาว 13 ส่งผลให้เกิด "การจัดหาน้อยเกินไป" (under-provision) ของนวัตกรรมใหม่ๆ 12 และทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมตกอยู่ในภาวะชะงักงัน 13
ปัญหาข้อมูลไม่สมมาตร (Asymmetric Information): เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในธุรกรรมมีข้อมูลดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง 28 เช่น ผู้ขายรถมือสองรู้ข้อบกพร่องของรถแต่ผู้ซื้อไม่รู้ 28 กลไกตลาดจะทำงานได้ไม่เต็มที่ 28 และนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ 28 ปัญหานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ต้องอาศัยข้อมูลที่โปร่งใสและเชื่อถือได้ 29
ตารางที่ 2: ความล้มเหลวของตลาดและผลกระทบต่อ "กับดักนวัตกรรม"ประเภทของความล้มเหลวของตลาด
ปัญหาผู้เกาะกระแส (Free-Rider Problem)
ข้อมูลไม่สมมาตร (Asymmetric Information)
การมุ่งเน้นระยะสั้น (Short-termism)
IV. ปฏิบัติการฝ่ากับดัก: บทบาทของเทคโนโลยี ภาคี และนโยบาย
การก้าวข้าม "กับดักผลัดวันประกันพรุ่ง" ต้องอาศัยการบูรณาการปัจจัยหลายด้านเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีและภาคีมาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างวิสัยทัศน์ของมนุษย์ และการสร้างกรอบนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนในนวัตกรรมระยะยาว
AI ในฐานะเครื่องมือช่วยเร่ง ไม่ใช่ผู้แทนมนุษย์
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว 23 โดย AI ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อมาแทนที่มนุษย์ แต่เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเร่ง (Accelerant) และขยายขอบเขต (Scaling) การทำงานในทุกขั้นตอน 23 ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อหาโอกาสใหม่ๆ 23 ไปจนถึงการออกแบบและทดสอบต้นแบบเสมือนจริง ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างมหาศาล 23 นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในการตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลเชิงประจักษ์ 23 และช่วยลดอัตราความล้มเหลวของนวัตกรรมได้ 23
อย่างไรก็ตาม AI ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญ ซึ่งเป็นจุดที่สัญชาตญาณและความสามารถของมนุษย์ยังคงจำเป็น 23 AI สร้างแนวคิดจากข้อมูลที่มีอยู่ ทำให้เก่งในเรื่องการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ (Incremental Improvements) แต่ยังอ่อนแอในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ที่นอกกรอบอย่างสิ้นเชิง (Out-of-the-box creativity) 23 นอกจากนี้ AI ยังขาดสัญชาตญาณและความกล้าเสี่ยงในการเสนอแนวคิดที่ยังไม่เคยถูกทดสอบมาก่อน 23 รวมถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความต้องการและอารมณ์ของมนุษย์ (Empathy) 23 อนาคตของนวัตกรรมที่แท้จริงจึงเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง "มนุษย์ + AI" ซึ่งผสมผสานความแม่นยำและการประมวลผลของ AI เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ และความกล้าเสี่ยงของมนุษย์ 23
นวัตกรรมเปิดและระบบนิเวศความร่วมมือ
เพื่อแก้ปัญหา "ผู้เกาะกระแส" และเพิ่มศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรม การสร้างระบบนิเวศแห่งความร่วมมือจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง 10 การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมต้องอาศัยการบูรณาการจากทุกภาคส่วน 10 ทั้งองค์กรขนาดใหญ่ที่เปิดรับแนวคิดจากสตาร์ทอัพและนักวิจัยภายนอก 10 และการทำงานร่วมกันระหว่างทีมและแผนกต่างๆ ภายในองค์กรเอง 7 การส่งเสริมวัฒนธรรมที่สนับสนุนการสื่อสารและการทำงานร่วมกันแบบเปิดกว้างจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และสามารถนำเอาความหลากหลายของความคิดมาใช้แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7
บทบาทของภาครัฐและนโยบาย
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนในนวัตกรรมระยะยาว 30 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้ขับเคลื่อน "นวัตกรรมเชิงนโยบาย" (Policy Innovation) เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ เช่น การสนับสนุนมาตรการยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก หรือการสร้างภูมิคุ้มกันให้พลเมืองรู้เท่าทันเทคโนโลยี 31 การสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven economy) 10 ไม่ใช่แค่การมีเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมให้เกิดการคิดค้นและนำสิ่งใหม่ๆ มาใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน 10
V. ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์: การสร้างสมดุลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
การวิเคราะห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการผลิตที่ขับเคลื่อนโดยตลาดเพียงอย่างเดียวสามารถกลายเป็น "กับดักผลัดวันประกันพรุ่ง" ได้อย่างแท้จริง หากปราศจากวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์และความกล้าที่จะเผชิญความเสี่ยง การเติบโตที่อาศัยเพียงแค่การตอบสนองความต้องการที่มีอยู่จะไม่สามารถนำไปสู่การก้าวกระโดดหรือการสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืนได้
การประสานแนวคิด: Market-Informed Human-Led Innovation
แนวทางที่ยั่งยืนคือการสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างทั้งสองแนวคิด รายงานฉบับนี้จึงขอเสนอแนวทาง "นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์และได้รับข้อมูลจากตลาด" (Market-Informed Human-Led Innovation) ซึ่งใช้การวิจัยตลาดเป็น "เครื่องมือ" ในการ "นำทาง" (Guide) และ "ลดความเสี่ยง" ของการนำเสนอสิ่งใหม่สู่ตลาด ไม่ใช่เป็น "นาย" (Master) ที่กำหนดให้ต้องสร้างแต่สิ่งที่ตลาดมีอยู่แล้วเท่านั้น การใช้ข้อมูลตลาดจะช่วยให้ผู้นำและนักวิจัยสามารถเข้าใจความต้องการที่ซ่อนอยู่ (Unmet Needs) และสามารถปรับแต่งนวัตกรรมของตนให้เข้ากับพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างชาญฉลาด แทนที่จะใช้ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
คำแนะนำสำหรับผู้นำและองค์กร
เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักดังกล่าว ผู้นำองค์กรควรให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และความกล้าเสี่ยง โดยมีคำแนะนำดังนี้:
สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการทดลอง: ส่งเสริมวัฒนธรรมที่มองความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 7 โดยให้พนักงานกล้าที่จะทดลองไอเดียใหม่ๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลงโทษหากไม่ประสบความสำเร็จ 7
ให้ความสำคัญกับแรงจูงใจภายใน: ผู้นำควรส่งเสริมแรงจูงใจภายในควบคู่ไปกับแรงจูงใจภายนอก 1 โดยสร้างความท้าทายในงาน และให้ความอิสระในการทำงาน 2 เพื่อให้พนักงานรู้สึกถึงความสำเร็จและความรับผิดชอบในผลงานของตนเอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นพฤติกรรมสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 32
นำ AI มาเป็นคู่หูทางยุทธศาสตร์: ใช้ AI เพื่อช่วยเร่งกระบวนการในส่วนที่ AI เก่ง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลและการจำลองสถานการณ์ แต่ยังคงบทบาทของมนุษย์ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ ความกล้าเสี่ยง และความเข้าใจในมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
สรุป
โดยสรุป การผลิตที่ขับเคลื่อนโดยตลาดเพียงอย่างเดียวสามารถกลายเป็น "กับดักผลัดวันประกันพรุ่ง" ได้อย่างแท้จริง หากปราศจากความกล้าที่จะออกจากพื้นที่ปลอดภัยเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ก้าวกระโดด 3 ทางออกไม่ใช่การเลือกระหว่าง "ตลาด" กับ "มนุษย์" แต่เป็นการสร้างสมดุลที่เหมาะสม โดยใช้ข้อมูลตลาดเป็นเครื่องมือและนโยบายเป็นกรอบการทำงาน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของนวัตกรรมที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนภายในของมนุษย์อย่างแท้จริง การผสมผสานที่ลงตัวนี้จะช่วยให้องค์กรและประเทศสามารถก้าวผ่านกับดักความเสี่ยงในระยะสั้น และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้อย่างแท้จริง