
เรื่อง: แตงโม สกลนคร
ปัญหา ความยากจน เป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของการพัฒนาประเทศ การแสวงหา โมเดลแก้จน ที่ยั่งยืนและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละชุมชนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง งาน วิจัยแก้จน ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจปัญหาและนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการแก้ไขที่ตอบโจทย์ โดยกรณีศึกษาของ "ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ" บ้านบะหว้า เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำองค์ความรู้จากการวิจัยมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการกลุ่มและสร้างรายได้ให้กับสมาชิกอย่างเป็นรูปธรรม
บทความนี้จะเจาะลึกถึงโมเดล "ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ" และกระบวนการบริหารจัดการกลุ่มบ้านบะหว้า โดยเน้นถึงปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและศักยภาพในการเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาความยากจนในชุมชนอื่นๆ
จุดเริ่มต้นและความร่วมมือ: ก้าวแรกสู่ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ
การดำเนินงานในระยะแรกของกลุ่มชุมชนเห็ดเศรษฐกิจบ้านบะหว้าเริ่มต้นจากการสร้างความเข้าใจร่วมกันในระบบการผลิตเห็ดแก่สมาชิก เป้าหมายหลักในระยะนี้คือการสะสมทุนให้ได้ 140,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการผลิตก้อนเห็ด โดยระหว่างนี้ สมาชิกจะได้รับผลผลิตดอกเห็ดสดเพื่อนำไปบริโภคในครัวเรือน เป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ในเบื้องต้น เมื่อบรรลุเป้าหมายด้านเงินทุนแล้ว กลุ่มจะมีการประชุมเพื่อวางแผนพัฒนาต่อยอดกิจการในระยะที่สอง มุ่งสู่การยกระดับเป็นกิจการชุมชนที่เข้มแข็งและยั่งยืน
ความสำเร็จเบื้องต้นของกลุ่มได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2567 กลุ่มชุมชนเห็ดเศรษฐกิจบะหว้าสามารถนำเงินฝากธนาคารได้ถึง 45,000 บาท แม้จะยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ แต่ข้อมูลและข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เกิดขึ้นในชุมชน ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือ การมีส่วนร่วม ของสมาชิกในทุกกระบวนการ

การบริหารจัดการกลุ่มตามโมเดลชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ
โมเดลชุมชนเห็ดเศรษฐกิจบ้านบะหว้าให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการกลุ่มอย่างเป็นระบบ โดยมีพื้นฐานมาจากการ วิจัยแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเริ่มต้นจากการศึกษาปัญหาที่แท้จริงในชุมชน นอกเหนือจากปัญหาการพัฒนาอาชีพที่ไม่ต่อเนื่องแล้ว ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ "การรวมกลุ่ม" ที่ยังไม่เข้มแข็ง การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาร่วมกับชาวบ้านนำไปสู่ข้อค้นพบว่า ปัญหาสำคัญมาจากการบริหารความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน การวางแผนโดยขาดการมีส่วนร่วมในการพิจารณาทรัพยากร และการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ยังไม่ครอบคลุม จากข้อค้นพบนี้เอง กลุ่มจึงได้พัฒนากรอบแนวทางการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมในด้านต่างๆ ดังนี้
1. เข้าใจภารกิจร่วมกัน
สมาชิกในกลุ่มต้องมีความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกับงานที่ต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งในกรณีของชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ ได้แก่
- เพิ่มทักษะการผลิตก้อนและการเปิดดอกเห็ด: เน้นการปฏิบัติจริงเพื่อให้สมาชิกมีความเชี่ยวชาญ
- ขั้นตอนการผลิตก้อน: ตั้งแต่การบรรจุวัสดุเพาะ การนึ่งฆ่าเชื้อ การหยอดเชื้อ และการบ่ม โดยใช้สถานที่ของวิสาหกิจชุมชนที่เป็นเครือข่ายให้การสนับสนุนด้านเทคนิค
- ขั้นตอนการเปิดดอก: การจัดการโรงเรือน การเก็บเกี่ยว การตัดแต่ง และการจำหน่ายผลผลิต ซึ่งต้องดำเนินการวันละ 2 ช่วงเวลา (เช้าและบ่าย) รวม 6 ชั่วโมงต่อวัน และมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวนานกว่า 4 เดือน
- การทำบัญชี: เพื่อบันทึกรายรับรายจ่ายและประเมินผลการดำเนินงาน
- การมอบนวัตกรรมและเทคโนโลยี: เช่น ระบบพ่นน้ำฝอยในโรงเรือน และหม้อต้มแรงดันไอน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- ขั้นตอนการแปรรูป: เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต (จะมีการพัฒนาในระยะต่อไป)
- ขั้นตอนการถอดบทเรียนและประเมินผล: เพื่อปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง

2. ร่วมสร้างความเข้าใจในเป้าหมาย
เป้าหมายร่วมกันของกลุ่มคือ การสร้างเศรษฐกิจชุมชนและสวัสดิการชุมชน โดยการรวมกลุ่มของ 30 ครัวเรือนในหมู่บ้าน เพื่อผลิตเห็ดเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็นทีมผู้นำบริหารกลุ่ม 5 คน และทีมสมาชิกครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย 25 คน ซึ่งได้รับการรับรองตามเงื่อนไขของชุมชน สมาชิกจะเข้าสู่ระบบการผลิตเห็ดในห่วงโซ่คุณค่าในฐานะ “ผู้เปิดดอก” โดยมีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ และเชื่อมโยงความร่วมมือกับกลไกตลาด สถาบันต่างๆ และหน่วยงานพัฒนาทั้งในต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เป้าหมายสูงสุดคือการ บรรเทาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ และยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและโอกาสทางสังคมของสมาชิก
3. ร่วมวางกลยุทธ์
กลยุทธ์หลักของโมเดลนี้คือการพัฒนา “ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ” ให้เป็นอุตสาหกรรมการผลิตในระดับชุมชน (Local Business) โดยส่งเสริมให้กลุ่มผลิตเห็ดเป็นเจ้าของกิจการ สร้างกลไกความร่วมมือบนระบบนิเวศน์ห่วงโซ่อุปทานเห็ดที่มีเสถียรภาพ เชื่อมโยงครัวเรือน ชุมชน กลุ่ม/กิจการ และผู้ประกอบการ ขับเคลื่อนงานด้วยรูปแบบการทำงานร่วมกันแบบงานบุญประเพณีวัฒนธรรมในชุมชน โดยมีผู้นำกลุ่มที่เข้มแข็งและได้รับการยอมรับเป็นผู้บริหารจัดการ มีวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” หรือ Node ร่วมใช้งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต ถ่ายทอดทักษะความรู้ และติดตามดูแลการดำเนินงาน ส่งมอบห่วงโซ่คุณค่าจาก "ผู้ผลิตก้อน" ไปยัง “ผู้เปิดดอกเห็ด” ในชุมชนที่เข้าร่วมโมเดล

4. ร่วมออกแบบการบริหารจัดการ
การวางแผนการบริหารจัดการครอบคลุมถึงแผนธุรกิจและแผนการเงิน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถประเมินผลได้
- ร่วมวางแผนธุรกิจ: การทำความเข้าใจข้อมูลในระบบการผลิตแบบเดิม พบว่าผู้ผลิตก้อนเห็ดมีกำไรประมาณ 50% ในขณะที่ผู้เปิดดอกที่ซื้อก้อนเชื้อเห็ดมีกำไรเพียง 4.29% โมเดลชุมชนเห็ดเศรษฐกิจจึงมุ่งเน้นการลดต้นทุนของผู้เปิดดอกลงประมาณ 50% โดยการสร้างพันธมิตรกับวิสาหกิจชุมชนเพาะเห็ดในพื้นที่ เพื่อใช้สถานที่ผลิตก้อนเห็ดและให้สมาชิกของกลุ่มเข้าไปเป็นแรงงาน พร้อมทั้งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการผลิตเห็ด
- ร่วมวางแผนการเงิน: โมเดลชุมชนเห็ดเศรษฐกิจได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเชื้อเห็ด 10,000 ก้อน พร้อมวัสดุควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือน รวมมูลค่าต้นทุน 50,000 บาท คาดการณ์ผลผลิตดอกเห็ดนางฟ้าในระยะเวลา 4 เดือน ประมาณ 200 กรัมต่อก้อน รวมเป็นปริมาณ 2,000 กิโลกรัม หากจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 70 บาท จะมีรายได้ประมาณ 140,000 บาท คาดการณ์ว่ากิจการชุมชนจะมีกำไร 40% ซึ่งเมื่อรวมกับค่าแรงของสมาชิก จะมีเงินเพียงพอต่อเป้าหมายในการสร้างรายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ตามโจทย์งานวิจัย

บทสรุป: ศักยภาพและความยั่งยืนของโมเดลชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ
โมเดลแก้จน "ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ" และการบริหารจัดการกลุ่มบ้านบะหว้าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำผล วิจัยแก้จน มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริง โดยเน้น การมีส่วนร่วม ของสมาชิกในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การทำความเข้าใจภารกิจ การกำหนดเป้าหมาย การวางกลยุทธ์ ไปจนถึงการวางแผนธุรกิจและการเงิน การสร้างความร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ และการบริหารจัดการกลุ่มอย่างเป็นระบบ เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จเบื้องต้นของกลุ่ม
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านบะหว้า สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของโมเดลนี้ในการสร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิก อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของโมเดลในระยะยาวขึ้นอยู่กับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน การขยายเครือข่ายความร่วมมือ และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด การถอดบทเรียนและประเมินผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาโมเดลนี้ให้มีความเข้มแข็งและสามารถเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาความยากจนได้ต่อไป



.....................
ดำเนินการ : โครงการพัฒนาระบบห่วงโซ่การผลิตเกษตรมูลค่าสูง ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
แหล่งทุนวิจัย : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)