จาก “กุดบากโมเดล” สู่ “บ้านเสาวัด”: ถอดรหัส “ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ” โมเดลแก้จนที่สร้างอาชีพในอ้อมกอดบ้านเกิด

จาก “กุดบากโมเดล” สู่ “บ้านเสาวัด”: ถอดรหัส “ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ” โมเดลแก้จนที่สร้างอาชีพในอ้อมกอดบ้านเกิด

เรื่อง: แตงโม สกลนคร

"หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"

คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้เสมอในโลกของการพัฒนาชุมชน ภาพของชาวบ้านที่ขะมักเขม้นผลิตก้อนเชื้อเห็ด และเยาวชนที่เข้ามาเรียนรู้กระบวนการผลิต ณ “โค้งคำนับฟาร์ม” ไม่ใช่แค่ภาพกิจกรรมยามว่าง แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ของการเดินทางกว่า 3 ปี เพื่อค้นหาคำตอบของการสร้างอาชีพที่ยั่งยืนในท้องถิ่น

วันนี้ผมจะพาผู้อ่านไปถอดบทเรียนจาก “กุดบากโมเดล” สู่ความสำเร็จครั้งใหม่ที่ “บ้านเสาวัด จ.สกลนคร” ว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกษตรกรธรรมดากลายเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม และทำไม “เห็ด” ถึงกลายเป็นเครื่องมือแก้จนที่ทรงพลัง

บทเรียนจากอดีต “โอกาส vs การฉาบฉวย”

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน บทเรียนสำคัญจาก “กุดบากโมเดล” สอนให้เรารู้ว่า การจะยกระดับชุมชนแบบก้าวกระโดดได้นั้น อาศัยเพียงแค่ความตั้งใจไม่พอ แต่ต้องประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก

  1. เงินลงทุน ที่เพียงพอ
  2. เทคโนโลยี ที่เหมาะสม
  3. ตลาด ที่มีความต้องการรองรับ
  4. รอบการผลิต ที่สร้างรายได้เร็ว


แต่สิ่งที่สำคัญกว่าปัจจัยภายนอก คือ “คน” ประสบการณ์สอนให้เราแยกแยะระหว่าง “ผู้ได้รับโอกาส” กับ “ผู้ฉาบฉวยโอกาส” ความต่างของสองกลุ่มนี้อยู่ที่ ความซาบซึ้งในงานและการตั้งมั่นในตน หากขาดสิ่งนี้ ต่อให้เทคโนโลยีดีแค่ไหน กลุ่มหรือกิจการก็ยากที่จะไปรอด

จาก “กุดบากโมเดล” สู่ “บ้านเสาวัด”: ถอดรหัส “ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ” โมเดลแก้จนที่สร้างอาชีพในอ้อมกอดบ้านเกิด

โมเดลใหม่ 2565: Pro-poor Value Chain ห่วงโซ่คุณค่าเพื่อคนตัวเล็ก

เมื่อโจทย์ชัดเจน ในปี 2565 อ.สายฝน ปุนหาวงค์ และทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จึงขยายผลสู่พื้นที่ใหม่ ณ บ้านเสาวัด ต.โพนงาม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร โดยไม่ได้เข้าไปแจกของ แต่เข้าไปด้วย “จิตวิญญาณการบ่มเพาะ”

กลยุทธ์ครั้งนี้ถูกวางบนกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) ผ่านโมเดล “ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ” ด้วยแนวคิด Pro-poor Value Chain หรือห่วงโซ่คุณค่าที่เอื้อต่อคนจน โดยมีหัวใจสำคัญคือ

  • ใช้พี่เลี้ยงนำทาง: ใช้วิสาหกิจชุมชนพี่เลี้ยงเป็นฐานการเรียนรู้
  • แชร์เทคโนโลยี: ใช้เทคโนโลยีร่วมกันเพื่อลดต้นทุนการผลิตในระยะเริ่มแรก สร้างความมั่นใจให้ชาวบ้านเห็นรายได้จริงก่อนลงทุนซื้อเครื่องจักรเอง
  • ใช้วัตถุดิบในถิ่น: เลือกอาชีพที่ใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น เพื่อลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก


“ต่อ” ผู้นำแห่งความเปลี่ยนแปลง

ทฤษฎีจะไร้ค่าหากขาดผู้ปฏิบัติ และที่บ้านเสาวัด เราได้พบกับ “ต่อ” ชายหนุ่มผู้มีความเป็นผู้นำและหัวใจความเป็นผู้ประกอบการเต็มเปี่ยม

“ต่อ” พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือของจริง ด้วยการขึ้นเป็นประธานวิสาหกิจชุมชนฯ เป็นที่พึ่งให้สมาชิกใหม่ และพา “โค้งคำนับฟาร์ม” (กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกเห็ดไร้สารบ้านเสาวัด) สร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง

  • ผลิตก้อนเชื้อเห็ดได้ตามเป้า 20,000 ก้อน
  • กระจายสู่โรงเรือนเพาะเห็ด 10 โรงเรือน
  • สร้างรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่น 127,627 บาท ต่อรอบการผลิต (ดูบัญชีรายได้)

จาก “กุดบากโมเดล” สู่ “บ้านเสาวัด”: ถอดรหัส “ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ” โมเดลแก้จนที่สร้างอาชีพในอ้อมกอดบ้านเกิด


สูตรลับความยั่งยืน “กฎ 70:30”

สิ่งที่ทำให้โมเดลนี้ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง คือการบริหารจัดการเงิน รายได้จากการขายเห็ดไม่ได้ถูกนำไปใช้จนหมด แต่ถูกจัดสรรด้วยระบบ “กองทุนการผลิต” ในสัดส่วน

  • 70% : เป็นรายได้เข้ากระเป๋าสมาชิก
  • 30% : หักเข้ากองทุนวิสาหกิจชุมชนเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการผลิตรอบต่อไป

ระบบนี้ทำให้กลุ่มสามารถยืนด้วยขาตัวเองได้ในระยะยาว ลดการรอคอยงบประมาณช่วยเหลือ และสร้างวินัยทางการเงินให้กับชุมชน

บทสรุป “สร้างกิจการบนแผ่นดินเกิด”

ความสำเร็จของ “โค้งคำนับฟาร์ม” ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขรายได้หลักแสน แต่คือการคืนศักดิ์ศรีและความหวังให้กับคนในชุมชน

คำกล่าวของ “ต่อ” ที่ว่าเป้าหมายของเขาคือการ “สร้างกิจการบนแผ่นดินเกิด อยู่ในอ้อมกอดมารดาผู้อารี” สะท้อนให้เห็นว่า ปลายทางของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ไม่ใช่ความร่ำรวยล้นฟ้า แต่คือการได้มีอาชีพที่มั่นคง ได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว และมีความสุขในบ้านของตัวเอง

นี่คือพลังของการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจาก “วิจัย ความรู้ เทคโนโลยี” ผสานกับ “โอกาส” และขับเคลื่อนด้วย “หัวใจ” อย่างแท้จริง


จาก “กุดบากโมเดล” สู่ “บ้านเสาวัด”: ถอดรหัส “ชุมชนเห็ดเศรษฐกิจ” โมเดลแก้จนที่สร้างอาชีพในอ้อมกอดบ้านเกิด

บทความที่เกี่ยวข้อง:
ที่มา: 

{fullWidth}

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า