การนำแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน "SLF" เป็นกลยุทธ์โมเดลแก้จนสบู่สมุนไพร "ไทบรู"


ไทบรูสกลนคร มีศักยภาพด้านสมุนไพรที่ทรงพลัง (Soft Power) เกิดจากวัฒนธรรมการกิน การใช้ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อกางกรอบแนวคิดดำรงชีพอย่างยั่งยืน SLF. มาวิเคราะห์ เราจะได้เห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ทั้งที่กำลังช่วยเหลือ หรือกำลังช่วยหมุนวงเวียนความจนให้เกิดซ้ำซาก

ปัญหาความยากกับแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน SLF.

ความยากจน คือภาวะขาดแคลนปัจจัยดำรงชีพ เขาคนนั้นกำลังเผชิญกับความโชคร้ายทุกมิติและทุกวัน นับว่าเป็นปัญหาใหญ่สำคัญระดับชาติ การหลุดพ้นจากความจน จึงเป็นสิ่งที่ปรารถนาทั้งคนจนและคนที่ช่วยเหลือ

คนจนมีความเปราะบาง ซับซ้อน และถูกปกปิด จะมีวิธีการไหนที่ช่วยให้หลุดพ้นจากความยากจนได้ทันที ยังคงเป็นคำถามที่มีคำตอบเฉพาะบุคคล หลายคนแนะนำวิธีแก้จนต้องเริ่มต้นจาก "ตนเอง" สิ่งสำคัญก่อนจะพัฒนาตน ต้องสลัดพฤติกรรมนิสัยที่ส่งผลต่อความยากจนทิ้งไป แล้วค่อย ๆ สร้างแรงบันดาลใจ แก้ปัญหาทีละอย่าง

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2563 - 2566) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ซึ่งได้รับทุนจาก บพท. กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มขจัดความยากจน ฯ โดยนำกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (Sustainable Livelihoods Framework : SLF.) มาใช้ในการศึกษา 

การดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF.) คือการศึกษาต้นทุนสินทรัพย์คนจน 5 ด้าน ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนกายภาพ ทุนการเงิน ทุนธรรมชาติ และทุนสังคม ซึ่งจะได้ชุดข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความเปราะบาง 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล ระดับครัวเรือน และระดับชุมชน / สังคม

การวิเคราะห์เชื่อมโยงทุนดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF.) เพื่อวางแผนกลยุทธ์สู่การดำรงชีพวิถีใหม่ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ นำไปสู่ปฏิบัติการช่วยเหลือทั้งสงเคราะห์และพัฒนาอาชีพ โดยร่วมมือกับกลไกเชิงสถาบันในพื้นที่ มีการวิเคราะห์ 5 ขั้นตอน ดังนี้

  • วิเคราะห์สถานการณ์บริบทและแนวโน้มของพื้นที่
  • วิเคราะห์ความเปราะบางของสินทรัพย์ทุนดำรงชีพคนจน 5 ด้าน
  • วิเคราะห์กลไกเชิงสถาบัน 
  • วิเคราะห์กลยุทธ์ดำรงชีพ
  • วิเคราะห์ผลลัพธ์การดำรงชีพ

ภาพจาก https://thecitizen.plus/node/85976

กรณีศึกษา การวิเคราะห์กลยุทธ์ดำรงชีพอย่างยั่งยืน SLF.

เมื่อปี 2565 ทีมนักวิจัยทีมโมเดลแก้จนเกษตรมูลค่าสูง มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร โครงการพัฒนาระบบห่วงโซ่การผลิตเกษตรมูลค่าสูง ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน นำกรอบแนวคิด SLF. มาพัฒนาโมเดลแก้จน "สมุนไพรไทบรู" มีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 30 ครัวเรือน

ชาติพันธุ์ “ชนเผ่าบรู” อาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านหินแตก หมู่ที่ 8 และบ้านคำแหว หมู่ที่ 3 ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ชี้เป้าหมายโดยเทศบาลตำบลไร่ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและท้าทาย แม้แต่การเข้าหมู่บ้านครั้งแรก ต้องผ่านกลไกผู้นำชนเผ่า หรือบุคคลที่คอยเชื่อมนักวิจัยกับคนในเผ่าบรูได้ แต่ที่น่าสนใจคือ เป็นกลุ่มที่ตกหล่น (Exclusion Error) จากการสำรวจ ไม่พบในฐานข้อมูลคนจนของภาครัฐ TPMAP (ปี2562)

มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม เชิญไทบรูโดยมีครูอุฤษดิ์ ม่วงมณี ประธานวัฒนธรรมชนเผ่าบรูจังหวัดสกลนคร มาร่วมงาน “มูนมังอีสาน” จึงสามารถเชื่อมประสานกับพื้นที่ได้ และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี


ภาพจาก https://thecitizen.plus/node/85976


1. สถานการณ์บริบทและแนวโน้มของพื้นที่ ตำบลไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ที่ตั้งถิ่นอาศัยชนเผ่าบรูอยู่บริเวณชายป่าเทือกเขาภูพาน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร เช่น สัตว์ป่า หอย หน่อไม้ เห็ด ผักหวาน ฯลฯ เป็นแหล่งดำรงชีพและสร้างรายได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะฤดูเห็ดป่าเกิด ตลาดริมทาง (ยายนงค์คราญ) 

แต่ละร้านให้ข้อมูลกำลังการซื้อ-ขาย ประมาณ 10,000 บาทต่อวัน แต่มีข้อจำกัดอยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติโนนอุดม ต้องปฏิบัติตามระเบียบ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ในปัจจุบันยังมีข้อพิพาทบุกรุกพื้นที่หลายครัวเรือน

อาชีพในชุมชนทำการเกษตร ได้แก่ มันสำปะหลัง ทำสวนยางพารา เลี้ยงวัว - ควาย ทำนา (บางครัวเรือน) วัยแรงงานออกไปรับจ้างต่างถิ่น ซึ่งการรับจ้างทั่วไปเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของครัวเรือน แม้เป็นเขตชลประทานเขื่อนน้ำอูน แต่ชาวบ้านเข้าไม่ถึงที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ด้านบนเหนือคลองส่งน้ำ เสี่ยงกับภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า น้ำไหลหลาก ภัยแล้ง เป็นต้น ทั้งนี้จากข้อมูล จปฐ.ปี 2565 รายงานเฉลี่ยรายได้ครัวเรือน 14,764.41 บาทต่อเดือน

นอกจากนั้น บ้านคำแหว ค้นพบรอยพระพุทธบาท ในวัดรอยพระบาท เป็นสถานที่นมัสการหนึ่งใน 48 แห่งของจังหวัดสกลนคร ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรแล้ว มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่ใกล้กับชุมชน ได้แก่ เขื่อนน้ำอูน และวัดป่าภูริทัตตถิราวาส (หลวงปู่มั่น)

ครูอุฤษดิ์ ม่วงมณี เปิดเผยว่า อัตลักษณ์ชนเผ่าบรูคือ มีภาษาตนเอง มีวัฒนธรรมการกิน และพิธีกรรมศพสวดโดยเขยบรู ด้านการดำรงชีพขาดความเชื่อมั่นในคุณค่าตนเองจึงอยู่ในวัฏจักรเดิม ๆ ได้แก่ ผสม ผสาน ขาดความสามัคคี และกลัว กล่าวคือ มีวิถีชีวิตพึ่งพิงธรรมชาติผสมระหว่างคนกับทรัพยากร อยู่ร่วมกันผสานจนเกิดความรู้นำประโยชน์ป่าไม้มาใช้ในปัจจัยสี่ เผ่าบรูชอบอิสระมักน้อยสันโดษจึงขาดความสามัคคี หาอาหารป่าไปแลกข้าวกลับถูกด้อยค่าว่าเกียจคร้าน ชอบมาขอข้าวกินรู้สึกอับอายกลัวการดูถูก

ปัจจุบันนี้จารีตประเพณีหลายอย่างใกล้จะสูญหาย โดยเฉพาะพิธีกรรมศพและภาษา ชาวบ้านบอกว่าภาษาบรูมีสำเนียงลีลาการพูดต่างจากภาษาอื่น ฟังแล้วไม่เข้าใจ ในขณะเดียวกันถูกมองว่าเป็นข่า โส้ ไม่ใช่ บรู มีข้อมูลชนเผ่าบรู ได้แก่ วรรณกรรม “พิธีกรรมคำสวดศพชาวบรู” การบรรเลงในพิธีศพ การแสดงวัฒนธรรมบรู การแต่งกาย และฐานข้อมูลภาษาบรู


ภาพจาก https://thecitizen.plus/node/85976


วิเคราะห์สินทรัพย์ทุนดำรงชีพครัวเรือนยากจน 5 ด้าน

ข้อมูลสินทรัพย์ต้นทุนชีวิตในระบบดำรงชีพครัวเรือน 5 ด้าน ได้เก็บสำรวจและบันทึกผ่านระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนระดับพื้นที่ (PPA Application) กลุ่มไทบรูมีข้อมูลวิเคราะห์ 26 ครัวเรือน มีสมาชิกในครัวเรือนรวม 90 คน แบ่งสินทรัพย์เป็นปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก มีรายละเอียดดังนี้

ปัจจัยภายใน

  • ทุนมนุษย์ มีวัยแรงงานอาศัยอยู่บ้าน ร้อยละ 41.06 ศักยภาพมีความรู้น้อย จบชั้นประถมและต่ำกว่าประถม ร้อยละ 68.89 มีอาชีพรับจ้างและทำเกษตร ส่วนใหญ่มีสุขภาพปกติ ร้อยละ 80 คุณภาพแรงงานขาดทักษะ ร้อยละ 90 มีอาชีพไม่มั่นคง ส่งผลให้ครัวเรือนขาดแคลนด้านการเงิน 
  • ทุนการเงิน มีรายได้เฉลี่ย 9,980.46 บาทต่อเดือน มีรายจ่ายเฉลี่ย 7,247.11 บาทต่อเดือน มีหนี้สินค้างชำระ ร้อยละ 61.54 มีเงินออม ร้อยละ 30.77 มีทรัพย์สินประกอบอาชีพ ได้แก่ เครื่องตัดหญ้า ยุ้งฉาง สัตว์เลี้ยง รถไถนาขนาดเล็ก เครื่องสูบน้ำ ดังนั้นต้นทุนด้านอื่นจึงมีความสำคัญมาก 

ปัจจัยภายนอก

  • ทุนกายภาพ ถ้าเข้าไม่ถึงบริการบางอย่าง เสี่ยงต่อความยากจนได้ ที่อยู่อาศัยมีสภาพทรุดโทรม ร้อยละ 11.54 ครัวเรือนไม่ได้ใช้น้ำประปา ร้อยละ 88.46 อาจสูญเสียทรัพย์สินหรือเสียโอกาสหารายได้ ต้องแบ่งเวลาหาน้ำมาใช้ ไม่มีที่ดินทำกิน ร้อยละ 50 ขาดโอกาสเป็นผู้ผลิต ดังนั้นคนจนส่วนใหญ่จึงพึ่งพิงธรรมชาติ 
  • ทุนธรรมชาติ มีการใช้ประโยชน์เพื่อดำรงชีพและสร้างรายได้ ร้อยละ 69.23 ใช้ประโยชน์แหล่งน้ำธรรมชาติ ร้อยละ 30.77 ถือเป็นทรัพยากรสำคัญในระบบการดำรงชีพด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น การเกษตร หาของป่า หาปลา เลี้ยงสัตว์ สมุนไพร ฯลฯ 
  • ทุนสังคม ครัวเรือนไว้วางใจชุมชน เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มฌาปนกิจ ร้อยละ 73.08 สร้างความสัมพันธ์ด้วยการปรึกษาและช่วยเหลือกันตามประเพณี ร้อยละ 53.85 เชื่อมั่นองค์ความรู้ในชุมชนนำไปใช้ประกอบอาชีพ ร้อยละ 73.08 กิจกรรมพัฒนาบางอย่าง ได้ประสานกลไกเชิงสถาบันภายนอกมาร่วม ร้อยละ 50

ภาพจาก https://thecitizen.plus/node/85976

กลไกเชิงสถาบัน

ประเด็นสมุนไพร ในโครงสร้างประเทศสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ประเด็นการเกษตรมูลค่าสูง และเกษตรชีวภาพ รัฐบาลประกาศให้นโยบายการพัฒนาสมุนไพรเป็นวาระแห่งชาติ ในโครงสร้างจังหวัดสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาสกลนครเป็น มหานครแห่งพฤกษเวช

แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ มีกระทรวงสาธารณะสุขเป็นเจ้าภาพหลัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ส่วนกลไกปฏิบัติการที่สำคัญในพื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ สปก. สนง.พัฒนาชุมชน สนง.เกษตรอำเภอ เทศบาลตำไร่ รพสต. อสม. โรงเรียนบ้านคำแหว และกำนันผู้ใหญ่บ้าน

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทย ปี 2565 มีมูลค่าสูงถึง 52,104.3 ล้านบาท แนวโน้มมีความต้องการเพิ่มขึ้น แต่ต้องเป็นผู้ประกอบการที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ 

ในพื้นที่มีมูลนิธิประชารัฐสมุนไพร โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นผู้รับจ้างผลิต ขายปลีก ขายส่ง ส่งออก ผู้แทนจำหน่าย ผู้ผลิต 

มีประกาศกฏกระทรวง ฯ ได้ยกเว้นให้การทำ “ลูกประคบ” ซึ่งเป็นที่นิยมผลิตในวิสาหกิจชุมชน ไม่ต้องขอใบอนุญาตสถานที่ผลิตในช่วง 5 ปีแรก นับจากที่กฎหมายบังคับใช้ด้วย



กลยุทธ์การดำรงชีพ

แบบเดิม

ชาวบ้านมีองค์ความรู้สมุนไพร ใช้ในครัวเรือนมีทั้งแบบยาต้ม ภาษาบรูเรียก “แระอะรวง” และลูกประคบ ภาษาบรูเรียก “ผ้าฮม” เพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า เจริญอาหาร บำรุงเลือด มีแรงในการทำงานรับจ้าง จนเป็นวัฒนธรรมการกินเชื่อว่า “มีอาหารคือความมั่นคงของชีวิต” ที่สำคัญ “ข้าวคือความมั่งคั่งของครอบครัว” เป็นการสำรองทรัพย์สินแสดงถึงความมั่งคงด้านปัจจัยสี่ มีข้าวคือมีสังคมเพื่อนพ้องน้องพี่ 

เผ่าบรูยังมีชื่อเสียงด้านยาสมุนไพรมีตำราหลายสูตร ใช้เพื่อการป้องกันและรักษาสุขภาพ สืบทอดองค์ความรู้ผ่านทายาท ตัวสมุนไพรหาได้จากธรรมชาติมีหลายชนิด เช่น รากไม้ เปลือกไม้ เครือไม้ ต้นอีตู่นา ผักกะย่าป่า ใบเป้า ใบหนาด ฝางแดง ว่านซน ฯลฯ ปัจจุบันทางวัดรอยพระบาทได้อนุรักษ์สมุนไพรที่หายากไว้

"การสืบทอดสมุนไพรถึงปัจจุบัน จากการล่าสัตว์หรือนายพราน จะมีผู้นำพรานที่รู้สูตรยาให้สัตว์อ่อนแรง เตรียมสำรองใส่กับลูกศรมีขนาดต่างกัน เจอสัตว์ใหญ่ต้องใช้ยามากขึ้นหรือยิงซ้ำ การเดินป่าจะปวดกล้ามเนื้อระหว่างทางใช้สมุนไพรสด ๆ หาริมทางได้เลย" นายปาว วาริคิด ปราชญ์ชุมชนด้านสมุนไพร บ้านคำแหว

แบบใหม่

เริ่มต้นจากการรวมกลุ่มคณะกรรมการทุนวัฒนธรรมชนเผ่าบรู สร้างเงื่อนไขกติกาให้เข้มแข็ง สร้างรูปธรรมแหล่งที่มารายได้ทันที ด้วยการพัฒนาแบรนด์ “สมุนไพรยาบรู” จากองค์ความรู้ที่มีในชุมชน ต่อยอดให้เกิดทักษะใหม่ ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ลูกประคบ “ผ้าขาวฮม” ยาต้ม “ส้างแก้ว” และทักษะการแปรรูปสบู่สมุนไพร มีสรรพคุณสูตรรักษาเส้นเอ็น สูตรผ่อนคลาย สูตรความงาม สูตรลดอาการคันตามผิวหนัง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสม

เพื่อสร้างความตระหนักในคุณค่า ปลูกจิตสำนึกการจัดเตรียมวัตถุดินต้นทาง หาจากธรรมชาติหรือปลูกเอง พร้อมกับสร้างสเตอรี่สื่อสารการตลาด ผ่านช่องทางที่ผู้คนเข้าถึงในศตวรรษที่ 21 และในอนาคตสร้างศูนย์กลางรวมใจ “อาศรมบรู” มีกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมชนเผ่าบรูตลอดปี เตรียมเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม ดังนี้

  1. ถอดรหัสตำรายาบรูเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ 
  2. พัฒนาองค์ความรู้การเตรียมสมุนไพรให้ได้สารสำคัญ 
  3. ถ่ายทอดองค์ความรู้การแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 
  4. การส่งเสริมให้เกิดตลาดเชิงวัฒนธรรมเผ่าบรู


ผลลัพธ์การดำรงชีพสบู่สมุนไพรไทบรู

กระตุ้นให้ชนเผ่าบรู ลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยตนเอง เกิดความสามัคคีจากปฏิบัติการ ที่เชื่อมโยงนิเวศน์ป่าไม้ สู่เส้นทางผลิตภัณฑ์ “สมุนไพรยาบรู” ผสานภูมิปัญญาชนเผ่าบรู ผ่านวัฒนธรรมการกิน (แระอะรวง) มีส่วนผสมของพืชท้องถิ่น เกิดจิตสำนึกตระหนักถึงคุณค่าอัตลักษณ์ของตนเอง มีเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจน เกิดสินค้าที่ทุกคนยอมรับ ครัวเรือนมีต้นทุนการดำรงชีพเพิ่มขึ้น


ใช้ทุนเพิ่มทุน สู่สถานะการเลื่อนระดับพ้นจน

ปฏิบัติการโมเดลแก้จนเกษตรมูลค่าสูง สมุนไพรไทบรู ได้นำทุนสังคมที่ชุมชนมีองค์ความรู้ด้านสมุนไพร มาสร้างจุดร่วม ซึ่งยืนยันได้จากทุนมนุษย์ชาวบ้านมีสุขภาพแข็งแรง จึงออกแบบแผนกลยุทธ์การดำรงชีพใหม่ ด้วยวิถีการดำรงชีพเดิมมีปราชญ์ชุมชน (หมอยา)

เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ สร้างทักษะใหม่ สร้างกลไกกติกากลุ่ม สร้างแบรนด์ สร้างการสื่อสารและตลาด มีรายได้ย้อนกลับไปเพิ่มสินทรัพย์ในครัวเรือน ทำให้ระบบดำรงชีพมีการเปลี่ยนแปลง หมุนเวียนเชื่อมโยงกันบนกรอบการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF.) จนถึงระดับที่หลุดพ้นจากความยากจน






อ้างอิง

1. แนวคิดและงานวิจัยเชิงปฏิบัติการแก้ไขปัญหาความยากจนบนฐานทุนดำรงชีพและศักยภาพ (ค้นหา 9เม.ย.67 ดร.แมน  SLF  )
2. มรภ.สกลนคร วิจัยโมเดลแก้จน “ผ้าขาวฮม” สมุนไพรชนเผ่าบรู (ค้นหา 9เม.ย.67 สมชาย เครือคำ https://thecitizen.plus/node/85976 )


เรียบเรียงโดย : สมชาย เครือคำ (แตงโม สกลนคร)
ดำเนินการ : โครงการการพัฒนากระบวนการเพิ่มรายได้เกษตรกรด้วยระบบการผลิตเกษตรมูลค่าสูง ฯ ปี 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ติดตามได้ที่ Onepoverty และ blockdit และ Facebook
แหล่งทุนวิจัย : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ติดตามได้ที่ งานยุทธศาสตร์ขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ
{fullWidth}

2 ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ10/4/67

    สกล ก็มีไทบรูเหรอ ขึ้นชื่อด้านยาสมุนไพรจิง ๆ เคยรู้จักแต่ดงหลวง อยู่มุก

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีครับ หมู่บ้านอยู่บริเวณเขื่อนน้ำอูน ต.ไร่ อ.พรรณานิคม ขอบพระคุณที่ติดตามคราฟฟฟ

      ลบ
แสดงความคิดเห็น
ใหม่กว่า เก่ากว่า