รายงานบทวิเคราะห์: วิกฤตแรงงานภาคเกษตรกับทางเลือกมรดกภูมิปัญญา
บทนำ: ภูมิทัศน์ของปัญหาจากเรื่องเล่าสู่ความเป็นจริง
รายงานนี้เริ่มต้นจากการถอดรหัสเรื่องเล่าที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายอันซับซ้อนที่ “กระดูกสันหลังของประเทศ” กำลังเผชิญอยู่ ปัญหาที่ถูกยกขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสัญญาณของวิกฤตเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในภาคการเกษตรของไทย ซึ่งบั่นทอนความสามารถในการดำรงชีพและความยั่งยืนของอาชีพนี้ เรื่องเล่าดังกล่าวได้กำหนดกรอบการวิเคราะห์หลักไว้สองประการ ได้แก่ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่เป็นแรงกดดันจากภายนอก และ “ช่องว่างภูมิปัญญา” ซึ่งเป็นปัญหาภายในที่ส่งผลกระทบในระยะยาว รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเจาะลึกไปในปัญหาทั้งสองมิติ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่แยกออกจากกันไม่ได้ และสำรวจทางเลือกที่สำคัญในการสร้าง “มรดกภูมิปัญญา” ยุคใหม่เพื่อเป็นหนทางสู่ความอยู่รอดและการสืบทอดอาชีพที่ยั่งยืน
รายงานจะนำเสนอการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งวิจัยที่เชื่อถือได้ เพื่อยืนยันถึงความรุนแรงของวิกฤตเศรษฐกิจที่ผลักดันให้เกษตรกรเข้าสู่วงจรหนี้สินที่ไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ยังจะสำรวจปัญหาเชิงสังคมและวัฒนธรรมที่ทำให้การถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรมไม่เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “ทำไมแรงงานภาคเกษตรจึงปลูกแต่ไม่โต” ดังที่เรื่องเล่าได้กล่าวไว้ในที่สุด
ส่วนที่ 1: การวิเคราะห์วิกฤตเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง: วงจรหนี้และต้นทุนที่บั่นทอน
ภาวะหนี้สินครัวเรือนและภาระหนี้ของเกษตรกร
วิกฤตเศรษฐกิจที่กระทบต่อภาคเกษตรกรรมไทยนั้นมีรากฐานมาจากภาวะหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยจากการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2567 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 606,378 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี และสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 90.4%-90.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 1 การสำรวจดังกล่าวยังระบุด้วยว่าประชาชนเกือบทั้งหมด (99.7%) มีภาระหนี้สิน โดยหนี้ส่วนใหญ่มาจากหนี้บัตรเครดิต หนี้ยานพาหนะ และหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ปัญหาหนี้สินยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าเกษตรกรมีหนี้เฉลี่ยรวมกันสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท ในขณะที่รายได้สุทธิเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 16,000 บาทต่อเดือน และกว่า 60% ของเกษตรกรมีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนี้ สถานการณ์นี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางทางการเงินอย่างยิ่งยวดของครัวเรือนเกษตร ซึ่งส่งผลให้เมื่อรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เกษตรกรจำนวนมากจึงต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำมาลงทุนในฤดูกาลเพาะปลูกถัดไป หรือแม้กระทั่งนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่ายทางสังคมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สร้าง "วงจรหนี้สินที่ยากจะหลุดพ้น" อย่างที่เรื่องเล่าได้อธิบายไว้
เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว ภาครัฐได้มีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือ เช่น โครงการพักชำระหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งมีเกษตรกรเข้าร่วมแล้วกว่า 1.85 ล้านราย โดยกำหนดเงื่อนไขว่าลูกหนี้ต้องมีเงินต้นคงเหลือไม่เกิน 300,000 บาทและต้องผ่านการประเมินศักยภาพทุกปี 4 แม้มาตรการนี้จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินได้ชั่วคราว แต่การวิเคราะห์เชิงลึกชี้ให้เห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพียงเท่านั้น การพักชำระหนี้เป็นเพียงการระงับภาระก้อนเดิมไว้ แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรแต่อย่างใด หากเกษตรกรยังคงต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนสูงและราคาผลผลิตตกต่ำในฤดูกาลถัดไป พวกเขาก็จะยังคงต้องกู้ยืมเงินก้อนใหม่เพื่อลงทุน ซึ่งอาจทำให้ต้องออกจากมาตรการพักหนี้ และสุดท้ายก็ต้องวนกลับมาสู่ "วงจรถดถอย" ที่ไม่สามารถหลุดพ้นได้ สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวยังขาดกลไกที่ยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง
ภาวะต้นทุนสูงและราคาผลผลิตที่ตกต่ำ
ปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนรายได้ของเกษตรกรอย่างต่อเนื่องคือภาวะต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาปุ๋ยเคมีซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงถึง 104.01% สำหรับปุ๋ยสูตร 46-0-0 นอกจากนี้ ปัญหาเมล็ดพันธุ์คุณภาพต่ำที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันต่อผลผลิตและคุณภาพของสินค้าเกษตรโดยตรง ทำให้เกษตรกรต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้นแต่กลับได้ผลผลิตที่ไม่มีประสิทธิพภาพ
ในขณะที่ต้นทุนสูงขึ้น ราคาผลผลิตกลับไร้เสถียรภาพและมีแนวโน้มลดลง รายงานวิจัยจากกสิกรไทยคาดการณ์ว่าในปี 2025 ดัชนีรายได้เกษตรกรจะหดตัวลงเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เช่น การที่ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้ซื้อข้าวรายใหญ่ของโลกประกาศระงับการนำเข้าข้าวชั่วคราว แม้นโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเวียดนามเป็นหลัก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ผลผลิตข้าวค้างสต็อกในประเทศ นำไปสู่ภาวะผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าภาคเกษตรไทยมีความเปราะบางสูงและพึ่งพาตลาดส่งออกมากเกินไป เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ภายนอก เกษตรกรก็ต้องเป็นผู้แบกรับภาระที่ตามมา และต้องวนกลับเข้าสู่วงจรหนี้สินเพื่อการลงทุนในรอบการผลิตถัดไป
ตารางที่ 1: ภาระหนี้สินและสถานะทางการเงินของครัวเรือนเกษตรรายการ ข้อมูลเชิงปริมาณ แหล่งที่มา มูลค่าหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ย 606,378 บาท/ครัวเรือน 1 สัดส่วนหนี้ในระบบ vs. นอกระบบ 69.9% vs. 30.1% 1 มูลค่าหนี้สินเฉลี่ยรวมของเกษตรกร 2,105,206 ล้านบาท 2 รายได้สุทธิเฉลี่ยต่อเดือนของเกษตรกร 16,000 บาท/เดือน 2 สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย 46.3% ของประชาชนส่วนใหญ่ 1
| รายการ | ข้อมูลเชิงปริมาณ | แหล่งที่มา |
| มูลค่าหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ย | 606,378 บาท/ครัวเรือน | |
| สัดส่วนหนี้ในระบบ vs. นอกระบบ | 69.9% vs. 30.1% | |
| มูลค่าหนี้สินเฉลี่ยรวมของเกษตรกร | 2,105,206 ล้านบาท | |
| รายได้สุทธิเฉลี่ยต่อเดือนของเกษตรกร | 16,000 บาท/เดือน | |
| สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย | 46.3% ของประชาชนส่วนใหญ่ |
ส่วนที่ 2: ช่องว่างระหว่างวัย: การสืบทอดที่ถูกท้าทายจากอคติและข้อจำกัด
วิกฤตประชากรแรงงานภาคเกษตรสูงวัย
นอกจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว ภาคเกษตรไทยยังเผชิญกับวิกฤตเชิงประชากรที่รุนแรง จากข้อมูลของ ttb analytics ระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แรงงานในภาคเกษตรลดลงถึง 3.5 ล้านคน เหลือเพียง 11.9 ล้านคนในปี 2566 ขณะที่แรงงานที่มีอยู่ส่วนใหญ่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุเกษียณเฉลี่ยที่ 62 ปี สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าภาคการเกษตรกำลังขาดแคลนแรงงานรุ่นใหม่ที่จะมาสานต่ออย่างน่าเป็นห่วง
ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ออกจากภาคเกษตรนั้น ไม่ใช่เพียงปัญหาเชิงวัฒนธรรมอย่าง "ความเกรงใจ" ที่ทำให้ไม่กล้าลงมือทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากผู้ใหญ่ หากแต่เป็นปัจจัยเชิงเศรษฐกิจที่ทรงพลังกว่ามาก นั่นคือ “เงินเกษตรไม่ได้หอมหวานเหมือนเงินจากอุตสาหกรรมอื่น” ตัวเลขเปรียบเทียบจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารายได้เฉลี่ยต่อปีของเกษตรกรอยู่ที่ 128,000 บาท ซึ่งต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของแรงงานในอุตสาหกรรมอื่น (580,000 บาท) ถึงกว่า 4 เท่า 14 ความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจนี้เป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจไปทำงานในเมืองเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงกว่า ปัญหา "ความเกรงใจ" จึงเป็นเพียงอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออาชีพเกษตรกรรมไม่สามารถมอบความมั่นคงทางรายได้ให้กับคนรุ่นใหม่ได้อีกต่อไป
ความขัดแย้งระหว่าง “ภูมิปัญญาดั้งเดิม” และ “นวัตกรรมใหม่”เรื่องเล่าระบุถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างความรู้ที่สั่งสมของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ไม่ทันโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป กับความรู้และข้อมูลใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่ที่กลับไม่กล้าลงมือทำ ทำให้การพัฒนาและการเรียนรู้ร่วมกันไม่เกิดขึ้น การวิเคราะห์พบว่าความขัดแย้งนี้ไม่ได้มาจากความไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่สำคัญหลายประการ การเข้าถึงเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ (AgriTech) เช่น โดรน หรือ AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพผลผลิต นั้นต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่หลวงสำหรับเกษตรกรรายย่อย
นอกจากข้อจำกัดด้านเงินทุนแล้ว ยังมีปัญหาด้านองค์ความรู้และความเข้าใจนวัตกรรมที่ยังขาดการนำเสนอที่เข้าถึงง่ายและตรงจุด หลายครั้งเกษตรกรขาดคำแนะนำที่เหมาะสมว่าควรจะนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับสภาพพื้นที่และผลผลิตของตนเองอย่างไร ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาระบบแรงงานแบบดั้งเดิม และทำให้การปรับตัวของภาคเกษตรไทยเป็นไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น จีน ซึ่งมีผลิตภาพการผลิตต่อแรงงานสูงกว่าไทยถึง 1.6 เท่า
ตารางที่ 2: วิกฤตประชากรแรงงานภาคเกษตรและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
รายการ ข้อมูลเชิงปริมาณ แหล่งที่มา จำนวนแรงงานภาคเกษตรในปี 2555 15.4 ล้านคน 14 จำนวนแรงงานภาคเกษตรในปี 2566 11.9 ล้านคน 14 รายได้เฉลี่ยต่อปีของเกษตรกร 128,000 บาท/คน 14 รายได้เฉลี่ยต่อปีของแรงงานอื่น 580,000 บาท/คน 14 สัดส่วน GDP ภาคเกษตรในอดีต (60 ปีที่แล้ว) 36% 5 สัดส่วน GDP ภาคเกษตรในปัจจุบัน 9% 5
| รายการ | ข้อมูลเชิงปริมาณ | แหล่งที่มา |
| จำนวนแรงงานภาคเกษตรในปี 2555 | 15.4 ล้านคน | |
| จำนวนแรงงานภาคเกษตรในปี 2566 | 11.9 ล้านคน | |
| รายได้เฉลี่ยต่อปีของเกษตรกร | 128,000 บาท/คน | |
| รายได้เฉลี่ยต่อปีของแรงงานอื่น | 580,000 บาท/คน | |
| สัดส่วน GDP ภาคเกษตรในอดีต (60 ปีที่แล้ว) | 36% | |
| สัดส่วน GDP ภาคเกษตรในปัจจุบัน | 9% |
ส่วนที่ 3: ทางเลือกและโอกาส: การสร้าง “มรดกภูมิปัญญา” ยุคใหม่เพื่อความยั่งยืน
การปรับนิยาม “มรดกภูมิปัญญา”: จากความทรงจำสู่เครื่องมือแห่งอนาคตการวิเคราะห์กรณีศึกษาของเกษตรกรต้นแบบที่ประสบความสำเร็จชี้ให้เห็นว่า "มรดกภูมิปัญญา" ที่แท้จริงไม่ใช่การยึดติดกับวิธีการเดิมๆ หากแต่คือการผสมผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมเข้ากับแนวคิดสมัยใหม่เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการเงินและชีวิต ตัวอย่างเช่น คุณเจริญ สุขวิบูลย์ ซึ่งใช้แนวคิด "เกษตรทฤษฎีใหม่" และ "เกษตรผสมผสาน" เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ โดยแทนที่จะพึ่งพาพืชเชิงเดี่ยวซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากราคาผลผลิตที่ตกต่ำ7 และต้นทุนที่สูงขึ้น โมเดลของเขาเน้นการกระจายความเสี่ยงด้วยการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน ทำให้มีรายได้จากหลายทาง เช่น การขายหน่อไม้ การเจาะน้ำจากกอไผ่ และการทำปุ๋ยหมักจากมูลโคเพื่อขายและใช้ในสวนของตนเอง การพึ่งพาตนเองที่เพิ่มขึ้นนี้ช่วยลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากภายนอก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยให้เขามีรายได้ที่ยั่งยืน
บทเรียนจากกรณีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จในยุคปัจจุบันไม่ได้มาจากการเพิ่มปริมาณผลผลิตเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน สร้างรายได้ที่หลากหลาย และสร้างความมั่นคงในระยะยาว ซึ่งเป็นการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้กับแนวคิดสมัยใหม่ที่เน้นการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพิง
การสร้างระบบนิเวศแห่งความร่วมมือ: ผสานภูมิปัญญาด้วยเทคโนโลยี
เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทุนและองค์ความรู้ของเกษตรกรรายย่อย การรวมกลุ่มและการสร้างเครือข่ายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรในยุคใหม่ โครงการ “ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการรวมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับผู้ค้าและลดต้นทุนการผลิตผ่านการใช้ทรัพยากรร่วมกัน การรวมกลุ่มนี้ยังส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้แก่สมาชิกในชุมชนอีกด้วย
นอกจากนี้ บทบาทของโครงการ “Young Smart Farmer” (YSF) ซึ่งมุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้ประกอบการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การอบรม แต่เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่เชื่อมโยงเกษตรกรรุ่นใหม่เข้ากับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนและนวัตกรรม การสร้างเครือข่ายนี้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดด้านเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทำให้การนำเทคโนโลยีที่มีราคาแพงมาใช้ร่วมกันเป็นไปได้ และยังเป็นพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างรุ่น เพื่อให้ภูมิปัญญาดั้งเดิมสามารถผนวกเข้ากับนวัตกรรมใหม่ได้อย่างลงตัว
ตารางที่ 3: การเปรียบเทียบแนวทางการเกษตรแบบดั้งเดิม vs. แบบใหม่| มิติการเปรียบเทียบ | แนวทางดั้งเดิม (พืชเชิงเดี่ยว) | แนวทางใหม่ (ผสมผสาน/ใช้เทคโนโลยี) |
| ความเสี่ยง | สูง (ขึ้นอยู่กับราคาและสภาพอากาศของพืชชนิดเดียว) | ต่ำ (กระจายความเสี่ยงจากหลายแหล่งรายได้) |
| แหล่งรายได้ | รายได้หลักจากสินค้าเพียงอย่างเดียว | รายได้หลากหลายทาง (พืช, สัตว์, การแปรรูป) |
| ต้นทุน | สูง (พึ่งพาปุ๋ยเคมี, เมล็ดพันธุ์คุณภาพต่ำ) | ต่ำลง (ผลิตปัจจัยการผลิตบางส่วนได้เอง) |
| การพึ่งพาภายนอก | สูง (พึ่งพิงตลาด, พ่อค้าคนกลาง, ปัจจัยการผลิต) | ลดลง (พึ่งพาตนเองและชุมชนมากขึ้น) |
| การใช้เทคโนโลยี | น้อย (เน้นแรงงานคน) | มาก (ใช้โดรน, ระบบอัตโนมัติ, IoT) |
| ความยั่งยืน | ต่ำ (ผลกระทบต่อดินและสิ่งแวดล้อม) | สูง (การจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า) |
ส่วนที่ 4: บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับอนาคต
บทสรุปวิเคราะห์
จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดข้างต้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิกฤตภาคเกษตรกรรมไทยเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกระหว่างปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างและการขาดความสามารถในการปรับตัวเชิงภูมิปัญญา เกษตรกรถูกผลักเข้าสู่วงจรหนี้สินที่ไม่สิ้นสุดจากภาวะต้นทุนสูงและราคาผลผลิตที่ไร้เสถียรภาพ ขณะเดียวกันปัญหาเชิงโครงสร้างด้านประชากรที่ขาดแคลนแรงงานรุ่นใหม่ก็ถูกซ้ำเติมจากความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจของอาชีพนี้ ที่สำคัญคือช่องว่างระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับนวัตกรรมใหม่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้การปรับตัวเป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่อาจสร้าง "มรดกภูมิปัญญา" ที่จูงใจให้ลูกหลานสืบทอดได้
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อก้าวข้ามวิกฤตและสร้างความยั่งยืนให้กับภาคเกษตรกรรมไทยในอนาคต จึงขอเสนอแนวทางเชิงนโยบายที่ครอบคลุมและบูรณาการดังต่อไปนี้:
เปลี่ยนผ่านนโยบายจาก "การพยุง" เป็น "การเพิ่มมูลค่า": ภาครัฐควรเปลี่ยนจากการเน้นนโยบายประกันราคา และการพักชำระหนี้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือระยะสั้น ไปสู่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าผลผลิตในระยะยาว การลงทุนดังกล่าวควรมุ่งไปที่การวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง และการสร้างแพลตฟอร์มกลางสำหรับแปรรูปสินค้าในระดับจังหวัด
ส่งเสริมการศึกษาและทักษะที่เน้นการปฏิบัติ: ควรมีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาด้านการเกษตรให้ทันสมัยและเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเกษตร (AgriTech) โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงานและเรียนรู้จากฟาร์มสมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจและทัศนคติเชิงบวกต่ออาชีพเกษตรกร
สร้างเครือข่ายและความร่วมมือที่ข้ามรุ่น: ควรสนับสนุนบทบาทของโครงการ Young Smart Farmer (YSF) และศูนย์การเรียนรู้เกษตรกรต้นแบบ ให้เป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงความรู้ระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ การสร้างชุมชนเกษตรกรที่เข้มแข็งจะช่วยให้เกิดการแบ่งปันองค์ความรู้ การแก้ปัญหาร่วมกัน และการเข้าถึงนวัตกรรมได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะเป็นหลักประกันที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งจากภายในและสร้างมรดกภูมิปัญญาที่แท้จริงเพื่อการสืบทอดอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต.jpg)
