
วันนี้แตงโมขอชวนคุยเรื่องที่ใกล้ตัวเราทุกคน แต่หลายคนอาจจะมองข้ามไป นั่นก็คือชีวิตของ “ชาวนา ชาวไร่” ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศเรา
จากการลงพื้นที่ทำงานวิจัยภาคสนาม ได้พูดคุยกับพี่ๆ น้องๆ เกษตรกร ทำให้แตงโมได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า อาชีพเกษตรกรรมตอนนี้ มันเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง โดยเฉพาะ “วิกฤตเศรษฐกิจ” และ “ช่องว่างภูมิปัญญา”
แรงงานภาคเกษตรกับวิกฤตเศรษฐกิจ...
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เห็นชัดและน่าปวดใจมากที่สุดครับ ลองนึกภาพตามแตงโมนะครับ
ปลูกข้าวมาได้ตั้งเยอะ แต่ราคาดันตกต่ำ
สภาพอากาศก็ไม่เป็นใจ พ่อค้าคนกลางก็กดราคา ทำให้ผลผลิตที่ปลูกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานขายได้ในราคาที่แทบจะขาดทุน
ในขณะที่ราคาปุ๋ยก็พุ่ง ต้นทุนก็สูงขึ้น
ปลูกแล้วขายไม่ดี แต่ค่าใช้จ่ายในการปลูกกลับสูงขึ้นทุกวัน นี่เหมือนกับการทำงานที่ได้เงินเดือนลดลงทุกปี แต่ค่าครองชีพกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายก็ต้องกู้หนี้ยืมสิน
เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ทางออกเดียวที่หลายคนเลือกคือการกู้เงินมาลงทุนในฤดูกาลถัดไป ซึ่งก็ทำให้เกิด 'วงจรหนี้สิน' ที่ยากจะหลุดพ้น
แรงงานภาคเกษตรกับช่องว่างภูมิปัญญา...
ปัญหานี้เป็นอีกเรื่องที่แตงโมมองว่าละเอียดอ่อนและส่งผลกระทบในระยะยาวมากๆ ครับ
คนรุ่นพ่อรุ่นแม่
มีประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต แต่บางครั้งความรู้นั้นอาจไม่ทันกับเทคโนโลยีและโลกที่เปลี่ยนไป
ส่วนคนรุ่นใหม่
มีความรู้ มีข้อมูล มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ในมือ แต่กลับไม่กล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะความเกรงใจและเคารพในคำสอนของพ่อแม่
นี่ทำให้เกิดความขัดแย้งที่มองไม่เห็นครับ รุ่นเก่าก็ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่ก็อยากลองอะไรใหม่ๆ ที่อาจจะดีกว่า แต่พอไม่มีใครกล้าเริ่ม กลัวจะขัดใจผู้ใหญ่ การพัฒนาและการเรียนรู้ร่วมกันจึงไม่เกิดขึ้น
ชาวบ้านเล่าให้แตงโมฟังว่า “แรงงานภาคเกษตร ปลูกแต่ไม่โต” ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องภูมิปัญญานี้ มันคือปัญหาที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ถ้าเรายังไม่สามารถแก้ปัญหาสองเรื่องนี้ได้ อาชีพเกษตรกรก็คงเป็นเพียงแค่ 'อาชีพในความทรงจำ' ที่ลูกหลานไม่อยากสืบทอด