ปฏิบัติการแก้จน "โมเดลคลังเมล็ดพันธุ์ข้าว"
พื้นที่ดำเนินงาน บ.ดงสาร ต.โพนงาม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร นำโดย อาจารย์สายฝน ปุนหาวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัย และนักวิจัยทีมปฏิบัติการโมเดลแก้จนเกษตรมูลค่าสูง มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร สนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 ใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) และกลไกวิศวกรสังคม
กระบวนการวิจัยใช้กรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (Sustainable Livelihoods Framework : SLF) เริ่มจากการวิเคราะห์บริบทพื้นที่บริบทคนจนจากระบบ (P2P Application) พบว่า มีทุนดำรงชีพทำนาปรัง สอดคล้องกับบริบทชุมชน และชาวบ้านมีความจำเป็นต้องทำนาเพื่อเก็บไว้บริโภค

ได้ออกแบบและพัฒนาโมเดลแก้จนอาชีพทำนาปรัง โดยการนำองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างง่าย มาแก้ไขปัญหาในแต่ละห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้เร่งแก้ปัญหาสำคัญของเกษตรกร ดังนี้
- งานต้นน้ำ พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพ ช่วยให้ข้าวรับประทานได้ จากเดิมแข็งเกรดอาหารสัตว์ เตรียมยกระดับการผลิตเพื่อใช้ในทุ่งพันขัน 4,000 ไร่ พร้อมกับค้นหาสายพันธุ์ข้าวท้องถิ่น และจัดระบบคลังเมล็ดพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมตามนิเวศน์ย่อย
- งานกลางน้ำ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ได้แก่ ข้าวเม่า สบู่นมข้าว
- งานปลายน้ำ การวางระบบสวัสดิการกองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว สมาชิกเกษตรกรกู้ยืมแลกเปลี่ยนซื้อขายกันภายใน และมีโอกาสใหม่คือการพัฒนาชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ "พิพิธภัณฑ์เกษตรกรรมที่มีชีวิต" ร่วมกับ local alike
แผนในอนาคตต้องพัฒนาแต่ละห่วงโซ่ให้เกิด Value จากการทำเกษตรกรรมคุณค่าสู่มูลค่า นำไปสู่ธุรกิจชุมชน ได้แก่ การจำหน่วยเมล็คพันธุ์ข้าว การแปรรูปสินค้าต่าง ๆ เช่า ข้าวเม่า สบู่ข้าว อาหาร เป็นต้น ชาวบ้านจึงรวมกลุ่มจดตั้งวิสาหกิจชุมชนนาปรังมูลค่าสูง เพื่อเป็นกลไกรับรองการขับเคลื่อนกิจการชุมชนโดยชุมชน พร้อมกับภาคีทุกภาคส่วน นำโดย อบต.โพนงาม ซึ่งเป็นกลไกหน่วยงานรัฐสำคัญในการพัฒนา
ผลการดำเนินงาน มีผู้ได้รับประโยชน์หรือช่วยเหลือครัวเรือนยากจนจำนวน 55 ครัวเรือน เกิดแปลงปลูกข้าวพันธุ์มากกว่า 110 ไร่ เกิดกองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว มีเทคโนโลยี "ตะแกรงร่อน" คัดเมล็ดพันธุ์ข้าวและชุดความรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงมีดังนี้
- ปีแรก 2565 เป็นช่วงของการศึกษาทดลองและสร้างความเข้าใจแก่นแท้ระบบผลิตข้าว ผสมผสานทั้งภูมิปัญญาของชาวบ้านและนวัตกรรมสมัยใหม่ โดยการมีส่วนร่วมกับชุมชน ค้นพบแกนนำเครือญาติทั้งผู้อยู่เบื้องหน้าและหลัง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาชุมชน สรุปกลยุทธ์ได้ว่า "รู้เขารู้เรา"
- ปีที่สอง 2566 เริ่มวิเคราะห์ข้อมูลแบบองค์รวม กำหนดโจทย์พัฒนาสร้างเป้าหมายร่วมกับชุมชน เกิดการวางแผนดำเนินงานในระยะยาวจัดลำดับความสำคัญเชื่อมโยงภาคีมาร่วมงาน เสนอการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะกับพื้นที่และใช้ได้จริง เกิดการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างกลไกทำงานเป็นกลุ่มทางการ
- ส่วนปีที่สาม 2567 ชุมชนเริ่มระดมทุนนำร่องเดินเครื่องทางเศรษฐกิจบางช่วง เช่น การแปรรูปพร้อมกับพัฒนาศักยภาพของคนมีจิตสำนึกรักษ์ถิ่นเกิด การแก้ปัญาหาหนี้สินครัวเรือน และเผยแพร่องค์ความรู้พัฒนาและยกระดับงานต่อเนื่อง
![]() |
ทรัพยากรบ้านดงสาร |
ข้อมูลบริบทบ้านดงสาร
บ้านดงสาร มีที่ตั้งชุมชนติดกับแม่น้ำสงคราม (ตอนล่าง) มีพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามหรือชาวบ้านเรียกว่า “ทุ่งพันขัน” เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 4,625 ไร่ เป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่มากกว่า 100 ปี ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ป่าบุ่งป่าทาม จึงเป็นต้นกำเนิดของแหล่งอาหารอันสมบูรณ์ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของชุมชนริมฝั่งแม่น้ำสงคราม การตั้งถิ่นฐานของชุมชนจึงมักตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่มบนที่ดอน อยู่ใกล้กับป่าทามที่อุดมสมบูรณ์
บ้านดงสาร เป็นหมู่บ้านที่ยากจนมาก เป็นป่าบุ่งป่าทามแต่ก่อนขนานนามว่าทุ่งน้ำทุ่งไฟ คือ ในฤดูฝนน้ำจากแม่น้ำสงครามจะท่วมทั้งหมดเหลือแต่หมู่บ้าน และในฤดูร้อนไฟจะไหม้ทุ่งหญ้าแซง บางปีที่สถานการณ์ไม่เลวร้ายมากนัก จะเป็นซุปเปอร์มาร์เกตของชาวบ้านได้พึ่งพิงธรรมชาติ เช่น หาหน่อไม้ขาย มีมันแซงขาย เกิดผักป่ากินได้ เป็นต้น ชาวบ้านจะนำมาขายหรือแลกข้าวกับชุมชนใกล้เคียง นายณัฎฐพล นิพันธ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านดงสาร (14ก.ค.66)
ปัจจุบันปี 2566 ชาวบ้านดงสารและหมู่บ้านรอบข้าง เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทุ่งพันขัน เพื่อการเกษตรทำนาปรังช่วงหลังฤดูน้ำลดปลูกข้าวไว้บริโภค และเพื่อการดำรงชีพหาของป่า ซึ่งทรัพยากรไม่เพียงพอเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากมีชาวบ้านต่างชุมชนเช่าเหมารถเข้ามาใช้ทรัพยากรมากขึ้นทุกปี คุณครูสุวรรณ บงศ์บุตร ข้าราชการบำนาญ และปราชญ์ชาวบ้าน
จุดเริ่มต้นทำนาปรัง เมื่อปี 2518 แต่ก่อนชาวบ้านจะเรียกทำนาแซง พอได้ผลผลิตมีข้าวกินจึงขยายพื้นที่ ต่อมาเป็นทุ่งพันขัน 4,625 ไร่ ในปัจจุบัน แต่ปัญหาที่พบ คือ ข้าวแข็งเป็นเมล็ดสีเหลืองขายได้ในราคาที่ถูกมากหรือเป็นอาหารสัตว์
ณัฏฐพล นิพันธ์ (พ่อเด่น) พี่เลี้ยงกล่าวว่า "ชาวดงสารรู้ว่าทำนาปรังข้าวจะแข็ง ต้นทุนแพง ขายถูก ขาดทุน แต่จำเป็นต้องทำ พื้นที่ชนบทไม่มีอาชีพอย่างอื่นให้รับจ้าง จะไปทำงานต่างถิ่นก็อายุมากแล้ว ถ้ามีผู้รับประกันว่าเปลี่ยนอาชีพอื่นจะมีเงินซื้อข้าว เพียงพอให้ครัวเรือนมีกินและเลี้ยงสัตว์ตลอดทั้งปีได้ก็ยินดีที่จะเปลี่ยน ดงสารเคยหาของป่าไปขอข้าวกิน จึงรู้รสชาติความยากจนไม่น่าทดลอง แต่ปัจจุบันเริ่มมีหลายครัวเรือนปลูกข้าวโพด ถั่วลิสง ฟักทอง ขายภายในชุมชน"
ทุนดำรงชีพครัวเรือนยากจนบ้านดงสาร
ในปี 2565 ได้เก็บข้อมูลครัวเรือนยากจน บ้านดงสารหมู่ที่ 5 พบว่า จำนวนครัวเรือนยากจน 81 ครัวเรือน มีสมาชิกจำนวน 331 คน มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือน 91,248.90 บาทต่อปี ต่ำกว่าเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐครัวเรือนมีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี มีทุน 5 ด้านตามกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) ประกอบด้วย
- ทุนมนุษย์ มีอาชีพร้อยละ 48.03 ได้แก่ เกษตรกร รับจ้างนอกภาคการเกษตร ไปทำงานต่างถิ่นเป็นลูกจ้างโรงงานบริษัท และรับจ้างภาคการเกษตร
- ทุนกายภาพ ครัวเรือนมีที่ดินทำกินร้อยละ 50.61 มีปัญหาที่ดินเอกสารสิทธิ์ น้ำไม่เพียงพอ เข้าถึงที่ทำกินยาก
- ทุนการเงิน ครัวเรือนทำนาปรังร้อยละ 59.25 เลี้ยงควาย ทำประมงน้ำจืด มีทรัพย์สินเพื่อการเกษตรประกอบอาชีพ ได้แก่ รถไถขนาดเล็ก เครื่องสูบน้ำ เครื่องตัดหญ้า ยุ้งฉาง เครื่องพ่นเมล็ดพันธุ์ มีหนี้สิน ธกส. และธนาคารพาณิชย์
- ทุนกายภาพ เข้าใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติเพื่อสร้างรายได้ทุกครัวเรือน ที่ทำกินอยู่ที่พื้นที่อุทกภัย ภัยแล้ง
- ทุนสังคม ครัวเรือนเข้าถึงกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชน ปรึกษาหารือช่วยเหลือกันตามประเพณี ครัวเรือนไม่ได้นำองค์ความรู้จากผู้รู้ในชุมชนร้อยละ 76.54 ใช้ภูมิปัญหาองค์ความรู้ในชุมชนแก้ปัญหา
![]() |
นาข้าว บ้านดงสาร |
ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการทำนาปรังบ้านดงสาร
จากการวิเคราะห์มูลค่าการผลิตทำนาปรังบ้านดงสาร เริ่มต้นจากการไถดะ 1 ครั้ง แล้วทำนาหว่าน เมื่องอกแล้ว 25 วัน จึงสูบน้ำเข้าแปลงและหว่านปุ๋ยครั้งแรก การสูบน้ำเข้าแปลงสูบอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง มากที่สุดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ตลอดช่วง 4 เดือน ส่วนปุ๋ยรับรวงข้าวหว่านสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนเก็บเกี่ยว
พันธุ์ข้าวที่ใช้คือข้าวพันธุ์ชัยนาทและปทุมธานีโดยเกษตรกรบ้านดงสารใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวนาปรัง 18 กิโลกรัม/ไร่ คิดเป็น 83,250 กิโลกรัม หรือ 83.25 ตันต่อพื้นที่ 4,625 ไร่ ส่วนผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยที่ 750 กิโลกรัม/ไร่ หรือ 3,468,750 กิโลกรัม หรือ 3,468 ตัน/รอบการผลิต
จากผลผลิตดังกล่าว จะเห็นว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจหรือฐานเศรษฐกิจหลักของบ้านดงสาร โดยเฉพาะข้าวนาปรังหากประเมินมูลค่าการผลิตต่อปี จะมีถึง 27,750,000 บาท หรือ เฉลี่ย 76,236 บาท/ครัวเรือน/ปี (จากราคารับซื้อข้าว 8 บาท/กิโลกรัม)
ขณะเดียวกันก็มีต้นทุนเมล็ดพันธุ์ข้าวเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน หากคำนวณจากราคากลางเมล็ดพันธุ์ข้าว คือ 12.5 บาท/กิโลกรัม เกษตรบ้านดงสารลงทุนกับเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่ต่ำกว่า 1,040,625 บาท/รอบการผลิต ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินมหาศาลสำหรับชุมชน
ในปัจจุบันเมล็ดพันธุ์ข้าวขาดตลาด เกษตรกรจำเป็นต้องซื้อหรือแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวด้วยกันเอง ซึ่งมีความเสี่ยงกับสิ่งเจือปนสูงทั้งสายพันธุ์ผสมและหญ้าวัชพืช ถ้าชาวบ้านสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวและจัดการเป็นอุตสหกรรมของชุมชนได้ เป็นนวัตกรรมแก้จนที่ช่วยเหลือเกษตรกรมากกว่า 350 ครัวเรือน ในพื้นที่กว่า 4,000 ไร่
กิจกรรม โมเดลคลังเมล็ดพันธุ์ข้าว
1.การพัฒนาอาชีพรายได้ครัวเรือน ปี 2565
ปฏิบัติการโมเดลแก้จน (Operating Model) พัฒนาอาชีพทำนาปรัง "ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว" นำคนจนในระบบ 25 ครัวเรือน และมีพี่เลี้ยง 5 คน รวมมีผู้รับประโยชน์ 30 ครัวเรือน เกิดแปลงนำร่องปลูกข้าวพันธุ์ 40 ไร่ ในพื้นที่ทุ่งพันขัน ได้จัดตั้งกองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว 1,000 กิโลกรัมหรือ 1 ตัน มีเทคโนโลยี "ตะแกรงร่อน" คัดเมล็ดข้าวพันธุ์ที่สมบรูณ์
อ.สายฝน ปุนหาวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัยเกษตรมูลค่าสูง กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2565 มีผู้เข้าร่วม 30 คน เกิดแปลงปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวพื้นที่ 40 ไร่ สมาชิกมีข้อตกลงคืนเมล็ดพันธุ์ข้าวไร่ละ 25 กิโลกรัม / 1 กระสอบ หรือเป็นเงิน 300 บาท รวบรวมเป็นกองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว มีเทคโนโลยี "ตะแกร่งร่อน" คัดเมล็ดพันธุ์อย่างง่ายใช้
พ่อนุกูล ตัวแทนกลุ่มทำนาปรัง เล่าความเป็นมาการทำนาปรัง "ตอนแรกพูดคุยกัน ชาวบ้านเสนอความต้องการอยากทำนาปรังเพื่อขายเป็นข้าวเม่า ได้ไปสอบถามกลุ่มแปรรูปข้าวเม่า จึงมีคำแนะนำให้เปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่หอมนุ่มกว่านี้ถึงจะแปรรูปข้าวเม่าได้ กลับมาวิเคราะห์ร่วมกับทีมนักวิจัย ตกลงทดลองปลูกข้าวนาปรังทำเมล็ดพันธุ์ให้หอมนุ่ม และทำเป็นกองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าวสำหรับชาวบ้าน พร้อมกับมีแนวทางจัดหารวบรวมพันธุ์ท้องถิ่น เพื่อหมุนเวียนให้เกษตรกรทำนาปรังในพื้นที่ทุ่งพันขัน 4,000 ไร่"
นายณัฏฐพล นิพันธ์ พี่เลี้ยงทำนาปรัง เล่าความเปลี่ยนแปลงจากการนำเทคโนโลยีไปใช้แล้วได้ผลกับตัวเอง "ทำนาปรังใช้พันธุ์หอมมุกดา หว่าน 5 ไร่ ดูแลแปลงคัดต้นพันธุ์และใช้ตะแกรงร่อนเพื่อคัดเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ นำบางส่วนไปสีมานึ่งกินรู้สึกว่าข้าวหอมนิ่มมาก ได้นำเมล็ดที่คัดพันธุ์มาหว่านนาปี ข้าวหนึ่งเมล็ดแตกกอ ออก 10 - 18 ต้นในหนึ่งกอ ได้วิธีคัดพันธุ์ใหม่แล้วจะไปบอกต่อ ขอบคุณอาจารย์จาก ม.ราชภัฏสกลนคร"
2.การพัฒนาอาชีพรายได้ครัวเรือน ปี 2566
สุวรรณ บงศ์บุตร (ครูแดง) พี่เลี้ยงและอนาคตประธานวิสาหกิจชุมชน สรุปข้อตกลงการทำนาปรังกับสมาชิกว่า "กองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว สมาชิกทั้งหมดคืนเงินสดปัจจุบันมีเงินทุน 12,000 บาท ในฤดูกาลผลิต 2566 นี้ สมาชิกเปลี่ยนแปลงข้อตกลงคืนเมล็ดพันธุ์ข้าว ไร่ละ 60 ก.ก. / 2 กระสอบ หรือเป็นเงิน 600 บาท คาดการณ์มีทุนเพิ่ม 3,300 ก.ก. หรือเงิน 33,000 บาท ส่วนการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนจะยื่นจดทะเบียนเดือนมกราคม 2567 รูปแบบดำเนินการครอบคลุมหลายอาชีพ หรือเป็นกลุ่มโดยชุมชนเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต"
อ.สายฝน ปุญหาวงค์ กล่าวว่า ในปี 2566 ได้รับทุนวิจัยต่อเนื่อง เพิ่มกลุ่มเป้าหมายรวมเป็น 55 ครัวเรือน (ครัวเรือนเป้าหมาย50, พี่เลี้ยง5) มีพื้นที่แปลงปลูกเมล็ดพันธุ์อย่างน้อย 55 ไร่ แปลงต้นแบบ และเสนอโครงการเข้าสู่แผนพัฒนาท้องถิ่นตำบลโพนงาม ยกระดับการดำเนินงาน ได้แก่
- ประชุมแต่งตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนาปรังมูลค่าสูง
- การดูแลติดตามแปลงปลูกดำนาจิตอาสา และเกี่ยวข้าวจิตอาสา ด้วยนักศึกษาวิศวกรสังคม
- พัฒนาต้นแบบเทคโนโลยีคัดเมล็ดพันธุ์ข้าว
- การเพิ่มมูลค่าแปรรูป “ข้าวเม่า” เชื่อมบ้านนายอ ต.อากาศ
- พัฒนาเป็นแหล่งการท่องเที่ยวชุมชน โดย local alike “พิพิธภัณฑ์เกษตรกรรมที่มีชีวิต”
- บพท.ติดตามงาน ครั้งที่ 1
- บพท.ติดตามงาน ครั้งที่ 2
- นักพัฒนา นักวิจัย ปลูกต้นเป็นที่ทุ่งพันขันเป็นที่ระลึก
การทำนาปรังจึงเป็นทางเลือกเพื่อลดค่าใช้จ่ายซื้อข้าวในครัวเรือนได้ครึ่งหนึ่ง พื้นที่ชนบทไม่มีทางเลือกมากนักอาชีพเสริมต่าง ๆ ทำได้แค่เหมาะสมกับกำลังซื้อของชาวบ้าน ชาวบ้านจึงเกิดแนวคิดอยากพัฒนาทุ่งพันขันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ น่าจะมีผู้คนเข้ามาซื้อสินค้าและบริการในชุมชน คุณครูสุวรรณ บงศ์บุตร

เรียบเรียงโดย : สมชาย เครือคำ (แตงโม สกลนคร)
ดำเนินการ : โครงการพัฒนาระบบห่วงโซ่การผลิตเกษตรมูลค่าสูง ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
แหล่งทุนวิจัย : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) งานยุทธศาสตร์ขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ