
เรื่อง: แตงโม สกลนคร 190568
ผมเริ่มมีโอกาสได้คลุกคลีกับปัญหาหนี้สิน และตระหนักดีว่าการกู้ยืมเงินนั้นเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งคือโอกาสในการพลิกฟื้นคุณภาพชีวิต หรือเป็นหนทางในการบริหารจัดการที่จำเป็น แต่หากอีกด้านหนึ่งคือการบริหารจัดการที่ไม่ดี ก็อาจนำไปสู่วังวนของหนี้สินที่ยากจะหลุดพ้นได้
คำถาม ที่วนเวียนอยู่ในใจผมและผู้อ่านหลายๆ ท่านมาโดยตลอดคือ จะทำอย่างไรกับปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่เป็นเหมือนระเบิดเวลาของประเทศไทยในตอนนี้?
การห้ามไม่ให้มีการกู้ยืมเงินนั้นไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง เพราะในบางครั้ง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็เป็นความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับหลายๆ ครัวเรือน
เห็นการทำงานหาแนวทางแก้ไขหนี้สินในหลายพื้นที่ เช่น บ้านดงสารและบ้านบะหว้า มองเห็นถึงแก่นแท้ของปัญหาที่ ดร.แมน ได้กล่าวไว้นั่นคือ “การแก้ปัญหาหนี้ไม่สามารถทำได้เพียงแค่รายบุคคล ทุกครอบครัวต่างมีบริบทและความซับซ้อนที่แตกต่างกัน การพยายามแก้ไขปัญหาโดยมองเพียงแค่ยอดหนี้ที่เหลือ 0 บาท อาจไม่ใช่ทางเลือกเดียวและอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป”
สิ่งที่ผมเห็นพ้องกับความหมายหรือเป้าหมายการแก้หนี้ครัวเรือน ของ ดร.แมน คือ "ความพึงพอใจต่อสมดุลรายรับ รายจ่าย และเงินออมในครัวเรือน" นี่อาจเป็นตัวชี้วัดใหม่ที่สำคัญยิ่ง
การที่ครัวเรือนจะมีความสุขและหลุดพ้นจากภาระหนี้สินได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่มีหนี้เลย แต่หมายถึงการที่พวกเขาสามารถบริหารจัดการรายรับรายจ่ายได้อย่างสมดุล มีเงินออมบ้าง และที่สำคัญคือมีความพึงพอใจกับสถานะทางการเงินของตนเอง
การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจ ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และที่สำคัญที่สุดคือการมองที่ความสุขและความยั่งยืนของชีวิต ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของการแก้หนี้ไม่ใช่แค่การปลดเปลื้องภาระทางการเงิน แต่คือการสร้างชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน