เรื่อง: แตงโม สกลนคร
ผศ.ดร.ก้องภพ ชาอามาตย์ รองอธิการบดี ม.ราชภัฏสกลนคร และคณะนักวิจัย 3 มหาวิทยาลัยในจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วยหน่วยงานภาคีภาครัฐ ภาคเอกชน และครัวเรือนเป้าหมาย ร่วมประชุมนำเสนอผลงานวิจัย โดยมีคุณเอ็นนู ซื่อสุวรรณ กรรมการสภาพัฒน์ และคณะผู้ทรงคุณวุฒิ จากแหล่งทุนวิจัย บพท., สอวช., สำนักงาน ก.พ.ร., เครือข่ายสื่ออีสาน เพื่อติดตามการขับเคลื่อนงานวิจัยและแนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มขจัดปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำในจังหวัดสกลนคร ที่ห้องสร้อยสุวรรณา เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568
สกลนคร มีเรื่องราวความสำเร็จที่หน่วยงานภาคีทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมวิจัยในระดับพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน อีกทั้งจัดรูปแบบการเรียนรู้ชุมชนจริงด้วยกระบวนการ "วิศวกรสังคม" นำนักศึกษาพัฒนาโมเดลแก้จนด้วย นับว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของคำว่า "วิจัยแก้จน" ที่เป็นรูปธรรม
![]() |
คุณเอ็นนู ซื่อสุวรรณ |
ความท้าทายที่เปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อน
ดร. อโศก พลบำรุง จาก บพท. ได้ย้ำว่างานแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นมีโจทย์ที่ท้าทายอย่างมาก แต่สำหรับจังหวัดสกลนครแล้ว มีความโดดเด่นและได้รับการจับตาเป็นพิเศษ เพราะเรามุ่งเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม วันนี้มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ (1)การกำกับติดตามและประเมินผลโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ (2)การสร้างผลผลิตและผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม และ (3)ที่สำคัญคือการให้คำปรึกษาและเสนอแนวทางการขับเคลื่อนผลงานไปสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในเชิง นโยบายแก้จน และสาธารณะ หลังจากนั้นผู้ทรงคุณวุฒิและคณะลงเยี่ยมชมพื้นที่การพัฒนาโมเดลแก้จน
โครงการ "พัฒนาและยกระดับจังหวัดสกลนครสู่พื้นที่วิจัยยุทธศาสตร์ เพื่อขจัดความยากจนและสร้างโอกาสทางสังคมด้วยวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยี" ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครได้รับทุนสนับสนุนจาก บพท. และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า มีความร่วมมือและนวัตกรรมสามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ดร.อโศก กล่าวชี้แจงความสำคัญการติดตาม
![]() |
ดร. อโศก พลบำรุง |
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ จากตัวเลขสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
ผศ.ดร.ก้องภพ ชาอามาตย์ หัวหน้าโครงการฯ รายงานผลการวิจัยพร้อมแสดงตัวเลขความภาคภูมิใจ ที่สามารถ บรรเทาความยากจนได้ถึง 3,748 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 29.8 จากครัวเรือนยากจนทั้งหมด 12,572 ครัวเรือนในจังหวัดสกลนคร รวมตั้งแต่ปี 2563 และนี่คือผลผลิตที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและพัฒนาผ่าน 3 โมเดล คือ (1)โมเดลเศรษฐกิจชุมชนรายครัวเรือน (2)โมเดลห่วงโซ่มูลค่าคนจน (3)โมเดล Social Safety Net เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่เราเห็นอย่างชัดเจนคือ
- ครัวเรือนและชุมชนมีเทคโนโลยีใช้ประกอบอาชีพกว่า 30 อย่าง เช่น ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ การเพาะเนื้อเยื้อกรุงเขมา เตาต้มไอน้ำนึ่งเห็ด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้การผลิตแบบ "ทำน้อยได้มาก"
- ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่มากกว่า 10 ล้านบาท สะท้อนถึงการฟื้นตัวและเติบโตทางเศรษฐกิจชุมชนในระดับฐานราก
- คนจนมีทักษะเพิ่มขึ้นในกว่า 10 อาชีพ ได้แก่ วุ้นหมาน้อยไม่ด้อยค่า เพาะเลี้ยงกบครบวงจร เพาะเลี้ยงเห็ดครบวงจร ปลูกมันฝรั่ง ปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าว สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงร้อยละ 20 ทำให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ที่สำคัญคือ คนจนรวมกลุ่มอาชีพได้ถึง 10 กลุ่ม และมีกองทุนปัจจัยการผลิตหมุนเวียนในกลุ่มถึง 200,000 บาท นี่คือตัวชี้วัดความยั่งยืนที่แท้จริง เพราะเป็นทุนที่หมุนเวียนและสร้างต่อเนื่องได้ด้วยตนเอง แม้โครงการจะสิ้นสุดลงไปแล้วก็ตาม
![]() |
ผศ.ดร.ก้องภพ ชาอามาตย์ |
หัวใจของการทำงาน กลไกและกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน
ผลงานอันน่าภาคภูมิใจนี้ ผศ.ดร.ก้องภพ บอกว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งของ ระบบและกลไก อว.ส่วนหน้า ที่ผนึกกำลังของ 3 สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดสกลนคร ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานสกลนคร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนกว่า 45 หน่วยงาน
ในปีงบประมาณ 2567 ได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจาก บพท. 13,000,000 บาท มีระบบและกลไกผ่านการขับเคลื่อนงานภายใต้ 6 กลยุทธ์สำคัญ
- สร้างกลไกความร่วมมือ: มีการลงนาม MOU กับจังหวัดและภาคีเครือข่ายกว่า 45 หน่วยงาน และสร้างนักบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (Area Manager) ทั้งนักวิจัย (ARM) และนักพัฒนา (ADM) จำนวนรวม 54 คน
- การพัฒนาระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนแบบชี้เป้า: จากข้อมูล TPMAP ในปี 2567 ได้ค้นหาสอบทานข้อมูลใน 7 อำเภอ พบว่าสามารถเพิ่มคนจนตกหล่น (Exclusion Error) ได้ถึงร้อยละ 31.72 และนำข้อมูลเข้าระบบ PPPConnext ได้อย่างครอบคลุม รวมสำรวจข้อมูลปี 2563-2567 จำนวน 12,572 ครัวเรือน
- การพัฒนาระบบส่งต่อความช่วยเหลือและติดตามแบบมุ่งเป้า: ส่งต่อข้อมูลความช่วยเหลือให้หน่วยงานตามภารกิจในรูปแบบไฟล์มากกว่า 1,356 คน และพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DSS) ด้านส่งเสริมอาชีพห่วงโซ่มูลค่าคนจน
- การพัฒนาโมเดลแก้จนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี: เริ่มต้นจากการพัฒนาอาชีพปลูกผักในพื้นที่ราชพัสดุ และขยายผลไปยัง 7 อำเภอ ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกว่า 30 อย่าง สร้างอาชีพ ได้แก่ เพาะเห็ด ทำนาปรัง แปรรูปข้าวเม่า ปลูกผักปลอดภัย ปลูกกรุงเขมา ปลูกมันฝรั่ง ปลูกพริก เพาะเลี้ยงกบ คนจนได้รับประโยชน์ 951 ครัวเรือน พัฒนาเป็น 3 โมเดลหลักคือ
- Local Content: มุ่งเน้นการสร้างอาชีพและการลดค่าใช้จ่ายในระดับครอบครัว
- Pro-poor Value Chain: เชื่อมโยงผู้ประกอบการคลัสเตอร์อุตสาหกรรมในพื้นที่กับคนจน เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ
- Social Safety Net: สร้างเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม เพื่อให้คนจนเข้าถึงสวัสดิการและได้รับการช่วยเหลือที่จำเป็น
- การเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ยุทธศาสตร์แผนพัฒนาระดับจังหวัดและท้องถิ่น: บูรณาการงานวิจัยเข้าสู่แผนพัฒนาท้องถิ่น 6 ตำบล และแผนพัฒนาอำเภอ 2 อำเภอ "อำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข" (อ.กุดบากแก้จน และ อ.อากาศอำนวยแก้จน) รวมถึงแผนพัฒนาหน่วยงานสำคัญ คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
- บทบาทของมหาวิทยาลัยในการแก้ไขปัญหาความยากจน: มหาวิทยาลัยเตรียมจัดตั้งศูนย์วิจัยแก้ไขปัญหาความยากจน และขับเคลื่อน "อำเภอแก้จน" "ท้องถิ่นแก้จน" "กองทุนแก้จนระดับจังหวัด" "ตลาดแก้จน" "ระบบเตือนภัยพิบัติ" และ "การบริหารจัดการหนี้สิน" โดยการสร้างระบบและกลไก "Area Manager" ระดับพื้นที่ดำเนินงานแก้จนอย่างต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติและผู้ได้รับประโยชน์
ท่านสุทธิเมศร์ บุญแสนกุลธวัช นายอำเภออากาศอำนวย ได้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า การมองความยากจนต้องมองที่ "คน" เป็นส่วนสำคัญ ไม่ใช่แค่การนำปลาไปให้ แต่เป็นการเสริมแรงและปรับทัศนคติที่ดี ท่านเน้นว่าพื้นที่เรามีทุนเดิมคือเกษตรและภูมิปัญญา มหาวิทยาลัยเข้ามาเสริมเรื่องนวัตกรรม ทำให้ "ทำมากได้น้อย" กลายเป็น "ทำน้อยได้มาก" ดังเช่นการแปรรูปข้าวเม่า หรือนวัตกรรมการปลูกเห็ด การทำงานที่ปรับความเข้าใจและเสริมแรงอย่างเหมาะสม ทำให้การพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่แล้วประสบความสำเร็จและทำงานได้ง่ายขึ้น
![]() |
นายสุทธิเมศร์ บุญแสนกุลธวัช |
คุณถนอม ทองพันธุ์ จาก ธ.ก.ส. สกลนคร เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานกับเครือข่ายในระดับพื้นที่ (Area-based) เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างศักยภาพในการชำระหนี้ โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ที่ต่อยอดกับ นโยบายรัฐบาล เช่น การฟื้นฟูอาชีพและพักหนี้ สอดรับกับแนวคิดธนาคารสีเขียวเพื่อการพัฒนา
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ บริษัท วาต้า ไทยเทรดดิ้ง จำกัด ที่เข้ามาเป็นภาคีหลักในการรับซื้อมันฝรั่งจากเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย อ.ภานุวัฒน์ บุญตาท้าว นักวิจัย มรภ.สกลนคร อธิบายว่า เราได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น เครื่องขุดมันฝรั่ง ที่พัฒนาจาก Pain Point ของเกษตรกรมาใช้ ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพ ลดความเสียหาย และเพิ่มรายได้จากการจ้างงาน ซึ่งช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้ถึง 15-20%
คุณอำพร รองประธานกลุ่มแปลงใหญ่มันฝรั่งบ้านโคกก่อง และผู้แทนเกษตรกร ได้ยืนยันว่าได้รับผลผลิตดี มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ต้นทุนอาจยังสูงอยู่บ้าง แต่รายได้ที่ได้จากการปลูกมันฝรั่งนั้นแตกต่างจากเดิมที่ปลูกมะเขือเทศและข้าวโพดอย่างมาก
ส่วน แม่กุด ชาวบ้านในพื้นที่ อ.เมืองสกลนคร เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า ถึงแม้มือทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่ยังมีคนจ้างงานปลูกมันฝรั่ง ทำให้มีรายได้เพิ่มเติมรวมกับสามีได้ค่าแรงงานวันละกว่า 600 บาท ทำให้พึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องเข้าป่าหาของขาย ตนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่ต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามรุ่น ผ่านการสร้างโอกาสให้หลานสาวได้รับการศึกษาจบ "พยาบาล" เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่า แม้ว่าตนยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตประจำวัน
![]() |
แม่กุด ชาวบ้านหนองปลาดุก |
ก้าวต่อไปสร้าง "พลเมือง" ไม่ใช่แค่ "ประชาชน"
คุณเอ็นนู ซื่อสุวรรณ กรรมการสภาพัฒน์ ได้สรุปภาพรวมไว้อย่างลึกซึ้งว่า การพัฒนาต้องทำร่วมกันจึงจะประสบความสำเร็จได้กว้างไกล และงานนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ "มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" โดยเฉพาะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกัน ท่านยังได้เน้นย้ำถึงการสร้าง "พลเมือง" ที่มีคุณภาพ มีความเข้าใจ มีศักยภาพ และมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง ซึ่งจะทำให้ประเทศได้ประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเน้นแนวคิด "ทำเอง ทำร่วม และทำขอ" เพื่อเปลี่ยนจาก "ประชาชน" เป็น "พลเมือง" ที่เข้มแข็ง
คุณจิริกา นุตาลัย ที่ปรึกษาแผนงานแก้ไขปัญหาความยากจน ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ การฟูมฟักทักษะที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาปากท้อง (economy of skill) และการพัฒนากลไกหรือระบบในการฉุดดึงผู้คนให้ก้าวพ้นจากความยากจน
![]() |
คุณจิริกา นุตาลัย |
งานวิจัยไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่คือพลังที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริง เมื่อผสานกับความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วน และแปลงไปสู่ นโยบาย ที่เข้าใจบริบทพื้นที่ ความยากจนก็จะกลายเป็นเพียงโจทย์ที่รอวันแก้ไข เพื่อสร้าง "พลเมือง" ที่เข้มแข็งและยั่งยืน ในที่สุด



แหล่งทุนวิจัย : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)