ถอดรหัสความรู้ใหม่ โมเดลแก้จน(นำร่อง) ผักแซ่บบึงอาคะ โอกาสซ่อนอยู่ในทุกงาน

ถอดรหัสความรู้ใหม่ โมเดลแก้จน(นำร่อง) ผักแซ่บบึงอาคะ โอกาสซ่อนอยู่ในทุกงาน

เรื่อง: แตงโม สกลนคร

หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า "โอกาสคือความรู้ที่มีอยู่ในงาน" แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราได้ลงมือพิสูจน์วลีนี้ด้วยตัวเอง? ผมอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ทำงานเริ่มนำร่องโมเดลแก้จนผักแซ่บบึงอาคะ ซึ่งเป็นบทเรียนจริงที่สอนให้ผมและอีกหลายชีวิตได้ประจักษ์ว่าทุกความท้าทายในหน้าที่ ล้วนเป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้ที่สามารถนำไปสู่โอกาสที่ไม่คาดฝันได้เสมอ

จุดเริ่มต้น ความไม่มั่นใจในภารกิจที่ดูเรียบง่าย

ปี 2568 เดือนพฤษภาคม วันที่ 30 ผมมีโอกาสร่วมต้อนรับและลงพื้นที่ไปกับคณะผู้ทรงคุณวุฒิจาก บพท. ที่มาติดตามงานวิจัยแพลตฟอร์มขจัดความยากจน จ.สกลนคร ที่ ม.ราชภัฏสกลนคร เข้ามาทำงานร่วมกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ คือปฏิบัติการโมเดลแก้จน “ไข่ผำ” 

บังเอิญมากผมได้พบกับ "แม่อร" ถูกเชิญมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดและสะท้อนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแม่อรคือหนึ่งในกลุ่มเป้าหมาย "คนแรก" ของงานวิจัยโมเดลแก้จน “ผักแซ่บบึงอาคะ” ห่างหายไปจากพื้นที่ ต.กุดไห อ.กุดบาก นานกว่า 2 ปีเลยนะ

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2564  สถานการณ์ช่วงนั้นยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่แม้จะมีความท้าทาย โมและแม่อรก็ยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมแต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับชุมชน จึงได้สื่อสารกันบ่อยขึ้นและเริ่มพูดคุยสร้างความคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ในตอนนั้น ผมยอมรับว่ามีความไม่มั่นใจในผลลัพธ์ของโครงการพอสมควร ผมมองว่าเสียเวลากับการเตรียมเครื่องมือในศึกษาบริบทชุมชน ทั้งการจัดทำแผนที่ทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคม ตอนนั้นผมยังไม่เห็นประโยชน์มากนัก ขอแค่ให้งานเสร็จเร็วๆ ก็พอ เพราะมีงานอื่นรออยู่มาก 

ส่วนแม่อร เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน หลังเกี่ยวข้าวเสร็จถึงเวลาลงมือปลูกผักทุกปี เห็นวิถีชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เกิด และคิดว่าการรวมกลุ่มปลูกผักคงไม่สำคัญอะไร ความคิดผมเห็นพ้องกันกับแม่อร ว่าผักกำละ 5 บาท จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหนกัน? 

บทเรียนที่ 1 อย่าเพิ่งด่วนตัดสินโอกาสจากภาพแรกที่เห็น

    บ่อยครั้งที่งานดูเหมือนเป็นกิจวัตร หรือดูเล็กน้อยในสายตาเรา แต่ภายใต้ความเรียบง่ายนั้น อาจซ่อนศักยภาพมหาศาลที่เรายังมองไม่เห็น

ถอดรหัสความรู้ใหม่ โมเดลแก้จน(นำร่อง) ผักแซ่บบึงอาคะ โอกาสซ่อนอยู่ในทุกงาน

การค้นพบศักยภาพ เมื่อข้อมูลเปลี่ยนความคิด

จากการลงมือ เก็บข้อมูลอย่างละเอียด เราได้ค้นพบความจริงที่น่าตกใจ การปลูกผักที่บึงอาคะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 400,000 บาทต่อปี! ตัวเลขนี้มาจากการวิเคราะห์ผลผลิตและรายได้จากผักบุ้งที่ปลูกเพียง 1 งานต่อแปลง ซึ่งมีมูลค่าถึง 4,000 บาทต่อฤดูกาล หากเปรียบเทียบกับการปลูกเต็มพื้นที่ 100 งาน จะเห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่

โจทย์สำคัญที่ได้รับมอบหมายในเวลานั้น คือการทำงานร่วมกับชุมชนและเทศบาล เพื่อพัฒนาบึงอาคะให้เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยภารกิจหลักๆ ในขณะนั้น ดังนี้

  • ศึกษาบริบทชุมชนและสำรวจแปลงปลูกผัก: ทำความเข้าใจวิถีชีวิตและแหล่งผลิตในพื้นที่
  • เก็บข้อมูลการผลิตผัก: รายละเอียดเกี่ยวกับชนิด ระยะเวลาการดูแล ศัตรูพืช รายได้ และการใช้น้ำ
  • ขับเคลื่อนการขุดลอกบึงอาคะ: พร้อมออกแบบภูมิทัศน์ใหม่ให้เอื้อต่อการเป็นแหล่งท่องเที่ยวและปลูกผักตลอดปี เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำแล้งและน้ำท่วม
  • วางแผนการจัดการแปลงปลูก: ทั้งสำหรับ
  • วางแผนการปลูกผักมูลค่าสูง: เพื่อยกระดับรายได้ของชุมชน
  • รวมกลุ่มอาชีพ: แต่ในที่สุด แม่อรก็ต้องรับหน้าที่เป็นประธาน "กลุ่มผักแซ่บบึงอาคะ" ด้วยเสียงโหวตเอกฉันท์จากสมาชิก

บทเรียนที่ 2 ความรู้ที่แท้จริง มักมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

สิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยในตอนแรก กลับกลายเป็นโอกาสมหาศาลเมื่อเรามีข้อมูลที่ชัดเจนมาสนับสนุน

ถอดรหัสความรู้ใหม่ โมเดลแก้จน(นำร่อง) ผักแซ่บบึงอาคะ โอกาสซ่อนอยู่ในทุกงาน

การทำงานร่วมกัน สร้างโอกาสจากพลังเครือข่าย

เมื่อเราเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ จึงได้เริ่มปฏิบัติการปลูกผักตามความต้องการของชุมชน แผนที่วางไว้มีเป้าหมายปลูกผักในพื้นที่ 30 งาน(แปลง) แนวทางการสนับสนุนของโครงการคือให้แบบมีเงื่อนไข เพื่อประเมินความต้องการเทคโนโลยี การเป็นเจ้าของ รวมถึงชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนา โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในพื้นที่

แผนการดำเนินงานครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การปลูกผัก แต่เป็นการเพิ่มทักษะปลูกผักมูลค่าสูง การปรับเปลี่ยนสู่การปลูกแบบปลอดภัย และการที่สมาชิกช่วยกันสร้างแปลงทดลองปลูกผักให้ได้ตลอดปี โดยนำไม้ไผ่จากทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ ชุมชนเกิดการทำงานด้วยอย่างเข้มข้น และร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ดังนี้

  • เทศบาลตำบลกุดไห: สนับสนุนบุคลากรและองค์ความรู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโยธาและการเกษตร
  • สำนักงานเกษตรอำเภอกุดบาก: ให้ความรู้ด้านมาตรฐานการผลิต และการบริหารจัดการกลุ่ม
  • ฟาร์มกะเลิง ผักเทิงภู: ช่วยจัดแผนการผลิตและเชื่อมโยงตลาดผักมูลค่าสูง
  • ชลประทานสกลนคร: ผลักดันแผนการขุดลอกบึงอาคะร่วมกับชุมชนและท้องถิ่น
  • กอ.รมน.สกลนคร: ส่งเสริมเกษตรพอเพียงและสนับสนุนปัจจัยการผลิต
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร: ออกแบบภูมิทัศน์ วางระบบบริหารจัดการน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นผู้ประสานภาคีเครือข่ายเข้ามาร่วมทำงาน

ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดและทุ่มเท ทำให้ผมและทีมงานกลายเป็นเหมือน "ลูกรัก-น้องรัก" ของพี่ๆ แม่ๆ บ้านกุดไห ได้รับน้ำใจมากมาย ทั้งข้าวสารใหม่หอมๆ และปลาร้าแซ่บๆ รวมถึงได้รู้ถึงมิติความขัดแย้งในชุมชนพร้อมกับหากลยุทธ์การวางตนเป็นกลาง 

ในระหว่างดำเนินวิจัยมีเรื่องราวเศร้าจากการสูญเสียยายแหวน กลุ่มเป้าหมาย และในอดีตคือผู้รวบรวมผักไปขายสร้างรายได้เลี้ยงชีพตนเอง

บทเรียนที่ 3 โอกาสที่แท้จริงเติบโตได้จากการทำงานร่วมกัน

ไม่มีความสำเร็จใดเกิดขึ้นได้ด้วยตัวคนเดียว การสร้างเครือข่ายและผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนจะช่วยขยายโอกาสและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

ถอดรหัสความรู้ใหม่ โมเดลแก้จน(นำร่อง) ผักแซ่บบึงอาคะ โอกาสซ่อนอยู่ในทุกงาน

โอกาสคือผลผลิตของความรู้และจิตวิญญาณ

แม่อร ในวันนี้ได้ตอบคำถามผู้ทรงคุณวุฒิด้วยความภาคภูมิใจว่า การเข้าร่วมโครงการวิจัยกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครได้มอบโอกาสมากมาย ทั้งโอกาสในการเข้าถึงหน่วยงานต่างๆ การสร้างกิจกรรมการผลิตเสริมที่มีมูลค่าสูง และการสร้างเครือข่ายที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัว จากเดิมที่ไม่อยากเป็นหัวหน้ากลุ่ม ตอนนี้กลับมีตำแหน่งทางสังคมเป็นที่ยอมรับ 

นี่คือบทพิสูจน์ว่า ประสบการณ์นำร่องโมเดลแก้จนที่บึงอาคะ ได้เปลี่ยนความคิดและความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างแท้จริง 

องค์ความรู้ ที่ได้จากบึงอาคะ ผมยืนยันว่า "เครื่องมือศึกษาชุมชนเชิงระบบ"  มีความสำคัญในการจัดการงานและออกแบบกลไกต่างๆ อย่างเป็นประชาธิปไตยและรวดเร็ว แต่เราก็ไม่ควรมองข้าม "เครื่องมือศึกษาชุมชนเชิงอุดมการณ์" อันได้แก่ ศรัทธา และจิตวิญญาณ ซึ่งแม้จะให้ผลลัพธ์ช้ากว่า แต่มีพลังในการสนุนเสริมเครื่องมือเชิงระบบให้แข็งแกร่งและยั่งยืน 

แต่โมมีความรู้ใหม่นั้นคือ ผัก เป็นเครื่องมือเช่นกัน ตามที่แม่อรได้สะท้อนเลย ถ้าไม่มีผักก็ไม่มีโอกาส ผักเป็นผู้เชื่อมเครือข่ายมาช่วย ทว่าเครื่องมือนี้ต้องถูกขับเคลื่อนไปพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง 3 ส่วนคือ กลุ่มเป้าหมาย ภาคี และนักวิจัย ถึงจะเกิดพลัง

ผู้ที่สั่งสม ประสบการณ์ในงานเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับชุมชนได้อย่างเหมาะสม โดยต้องใช้ชุมชนเป็นฐาน เข้าใจง่ายๆ ว่าหากต้องทำงานกับมนุษย์ ต้องใช้ทั้งเครื่องมือเชิงระบบ และเครื่องมือเชิงอุดมการณ์ไปพร้อมๆ กัน

ดังนั้น จงมองหาสิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้ได้จากทุกภารกิจ เพราะทุกความรู้ที่สั่งสมจากงานของคุณ คือเมล็ดพันธุ์แห่งโอกาสที่รอวันเติบโตเสมอ

ถอดรหัสความรู้ใหม่ โมเดลแก้จน(นำร่อง) ผักแซ่บบึงอาคะ โอกาสซ่อนอยู่ในทุกงานถอดรหัสความรู้ใหม่ โมเดลแก้จน(นำร่อง) ผักแซ่บบึงอาคะ โอกาสซ่อนอยู่ในทุกงาน
แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า