รวมพลัง "วิศวกรสังคม" ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม หลังมวลน้ำท่วมสกลนครคลี่คลาย!

เรื่อง: แตงโม สกลนคร

ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ซึ่งเปรียบดั่งน้ำมนต์ชโลมใจ ทีมงานมากน้ำใจได้รวมพลังกันเพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่สาธารณะของเราให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด

หลังจากพายุโซนร้อน “หวู่ติบ” พัดผ่าน ทำให้หลายชุมชนในเขตเทศบาลนครสกลนคร อำเภอเมืองสกลนคร ต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลงภายใน 1-2 วัน และหลายพื้นที่กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ยังมีสถานที่สำคัญบางแห่งที่ต้องการความช่วยเหลือฟื้นฟู โดยเฉพาะ วัดบ้านหนองบัวใหญ่ และ สวนสาธารณะเทศบาลธาตุนาเวง

รวมพลคนสร้างสรรค์ พลังแห่งการให้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ภายใต้การนำของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ก้องภพ ชาอามาตย์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร พร้อมด้วยคณาจารย์และนักวิจัย และกลไกสำคัญอย่าง นักศึกษาวิศวกรสังคม จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (สาขาวิชารัฐศาสตร์, นิติศาสตร์, ภาษาต่างประเทศ, ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร, การท่องเที่ยวและการโรงแรม) ที่รวมพลังกันอย่างเต็มที่

ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง ได้แก่ มณฑลทหารบกที่ 29 เทศบาลธาตุนาเวง และ เทศบาลนครสกลนคร ที่ได้ส่งกำลังพลและอุปกรณ์มาร่วมภารกิจจิตอาสาในครั้งนี้ รวมแล้วกว่า 100 คนที่พร้อมจะลงมือทำ!

การจัดกิจกรรมจิตอาสาครั้งนี้ เกิดขึ้นจากงานวิจัยแพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำในจังหวัดสกลนคร ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครได้รับทุนสนับสนุนจาก บพท. และในปี 2568 นี้ ได้เริ่มดำเนินงานในประเด็นการพัฒนาระบบเตือนภัยและสื่อสารภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสนับสนุนการตัดสินใจในการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผู้พิการ และผู้เปราะบาง ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอย่างหนัก

มหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่น บทบาทที่ไม่ใช่แค่การศึกษา

ทีมนักวิจัยได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจและรับฟังเสียงสะท้อนจากพี่น้องผู้ประสบภัย ทำให้เราตระหนักถึงความยากลำบากที่ทุกคนต้องเผชิญ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของการรวมพลังจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้

นี่คืออีกหนึ่งบทบาทสำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ในการดำเนินงานด้านภัยพิบัติ นอกจากการพัฒนาระบบสื่อสารเตือนภัยพิบัติโดยมีชุมชนเป็นฐานแล้ว การที่มหาวิทยาลัยได้นำนักศึกษาออกมาช่วยเหลือสังคม หรือร่วมงานจิตอาสาในครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงอัตลักษณ์การมีจิตสาธารณะ และยังคงยึดมั่นในเอกลักษณ์ของการเป็น "มหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาท้องถิ่นที่ให้โอกาส" สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราได้เห็นการเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายให้มาร่วมกันทำงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการช่วยเหลือและพัฒนาชุมชนของเรา

ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมแรงร่วมใจกันในครั้งนี้ พลังแห่งความสามัคคีคือแสงสว่างที่จะนำพาเราก้าวข้ามทุกวิกฤต และเชื่อมั่นว่า "ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด หากเราจับมือกันไว้ เราจะผ่านพ้นทุกสิ่งไปได้อย่างแน่นอน"

ภาพ: อ.สายฝน ปุนหาวงศ์, ศูนย์ประชาสัมพันธ์ มทบ.29

บทความที่เกี่ยวข้อง